บริษัทฟินเทคสัญชาติสหรัฐฯ อย่าง บล็อก(BLOCK) ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ภายใต้บริษัทลูก สแควร์(Square) ซึ่งอนุญาตให้ผู้ค้าปลีกขนาดเล็กในสหรัฐฯ สามารถรับชำระเงินด้วย *บิตคอยน์(BTC)* ผ่านเครื่องชำระเงินของสแควร์ได้โดยตรง โดยสามารถเลือกเก็บเหรียญไว้ในกระเป๋าสตางค์ดิจิทัลของบริษัทหรือแปลงเป็นเงินสดทันที ฟีเจอร์ใหม่นี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน
เมื่อวันที่ 3 (เวลาท้องถิ่น) สแควร์ประกาศผ่านช่องทางอย่างเป็นทางการว่าฟีเจอร์การชำระเงินด้วย *บิตคอยน์* ได้เปิดให้ใช้งานแล้ว โดยร้านค้าสามารถเลือกรับชำระเงินจากลูกค้าเป็น BTC และบริหารจัดการยอดขายผ่านฟังก์ชันแปลงเงินบางส่วนเป็นบิตคอยน์โดยอัตโนมัติ โดยไม่มีค่าธรรมเนียมใดๆ จนถึงปี 2026 และเริ่มเก็บค่าธรรมเนียม 1% ตั้งแต่เดือนมกราคม 2027 เป็นต้นไป
กระเป๋าสตางค์ดิจิทัลสำหรับเก็บ *บิตคอยน์* จะถูกรวมเข้ากับแดชบอร์ดหลักของสแควร์ เพื่อให้ผู้ค้าสามารถเข้าถึงและจัดการยอดขายที่แปลงเป็น BTC ได้โดยตรง ไม่ว่าจะซื้อ เก็บ หรือขายก็สามารถทำได้อย่างสะดวกทันที อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์นี้ยังใช้งานได้เฉพาะร้านค้าในสหรัฐฯ ที่อยู่นอกเขตนิวยอร์ก โดยร้านค้าต่างประเทศยังไม่สามารถเข้าถึงบริการนี้ได้
ความเคลื่อนไหวของสแควร์ครั้งนี้อาจเป็นตัวเร่งสำคัญด้าน “การนำคริปโตมาใช้งานจริง” เนื่องจาก ณ ปัจจุบันมีร้านค้ากว่า 4 ล้านแห่งทั่วประเทศที่ใช้ระบบชำระเงินของสแควร์ โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กที่อาจมองเห็นโอกาสใหม่ในการถือครองและใช้งาน *บิตคอยน์* แบบไม่ต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มภายนอก ซึ่งเป็น *ความคิดเห็น* ว่าอาจเปิดมิติใหม่ให้กับโครงสร้างพื้นฐานด้านการเงินในระดับรากหญ้า
ทั้งนี้ การเปิดใช้งานฟีเจอร์ดังกล่าวเป็นไปตามแผนกลยุทธ์ระยะยาวของบริษัทแม่ บล็อก ที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ว่ามีเป้าหมายจะผลักดันการใช้ *บิตคอยน์* สู่เมนสตรีมภายในปี 2026 โดยภายใต้การนำของซีอีโอ แจ็ค ดอร์ซีย์(Jack Dorsey) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักของบิตคอยน์ บริษัทได้ลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งในด้านการเทรดผ่านแอป “แคชแอป” และอุปกรณ์ขุดพลังงานต่ำสำหรับบุคคลทั่วไป
ฟีเจอร์ใหม่ของสแควร์จึงสะท้อนถึงความพยายามสร้าง “ระบบการเงิน” ที่เปิดกว้างและทันสมัยมากขึ้นในสหรัฐฯ โดยเฉพาะในบริบทที่ประธานาธิบดีทรัมป์มีท่าทีเปิดรับ *บิตคอยน์* ก็ยิ่งผลักดันให้กระแสการยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลในระดับนโยบายก้าวหน้าไปอีกขั้น จึงเป็นที่น่าจับตาว่าเมื่อเทคโนโลยีชำระเงินนี้พร้อมใช้งานในสหรัฐฯ อย่างเต็มรูปแบบแล้ว การขยายไปยังประเทศอื่นทั่วโลกจะเกิดขึ้นเมื่อใด
ความคิดเห็น 0