ราคาของบิตคอยน์(BTC) ปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ตลาดเกิดความผันผวน หลังจากกองทุน ETF บิตคอยน์ แบบสปอตในสหรัฐฯ มีการไหลออกของเงินทุนเป็นจำนวนมาก ทำให้แรงกดดันจากฝั่งขายเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งนี้ บิตคอยน์ยังคงอยู่ในแนวโน้มขาลง โดยล่าสุดปรับตัวลดลงต่ำกว่าระดับ 90,000 ดอลลาร์
เมื่อวันที่ 24 ตามเวลาท้องถิ่น รายงานระบุว่า กองทุน ETF บิตคอยน์ แบบสปอตในสหรัฐฯ มีการไหลออกของเงินทุนรวม 517 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นมูลค่าการถอนครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 7 สัปดาห์ โดยเฉพาะกองทุน iShares บิตคอยน์ ทรัสต์ (IBIT) ของแบล็คร็อกที่มีการไหลออก 159 ล้านดอลลาร์ และกองทุน Wise Origin บิตคอยน์ ของฟิเดลิตีที่สูญเสียเงินทุนไป 247 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ยังมีการถอนเงินจำนวนมากจากกองทุนของบิทไวส์, อินเวสโกและเกรย์สเกล ส่งผลให้ บิตคอยน์ ร่วงลงมากกว่า 5% จากระดับ 91,000 ดอลลาร์ ลงไปแตะ 89,175 ดอลลาร์
อาเธอร์ เฮย์ส(Arthur Hayes) ผู้ร่วมก่อตั้งบิทเม็กซ์ เตือนว่าแนวโน้มการขายอาจยังคงดำเนินต่อไป โดยเขาเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ อาจกระตุ้นให้กองทุนเฮดจ์ฟันด์ เข้าสู่กระบวนการลดความเสี่ยงจากสัญญาฟิวเจอร์สที่ถือครองอยู่ และอาจทำให้ราคาบิตคอยน์ลดลงถึงระดับ 70,000 ดอลลาร์ ปัจจุบันกองทุนเฮดจ์ฟันด์อาศัยกลยุทธ์ ‘เบสิส เทรด’ ซึ่งใช้ประโยชน์จากส่วนต่างราคาของ ETF และฟิวเจอร์ส อย่างไรก็ตาม การลดลงของราคาบิตคอยน์ทำให้กำไรลดลง จึงเกิดการขายกองทุน ETF เพิ่มขึ้น
มาร์คัส ทีเลน(Markus Thielen) หัวหน้าฝ่ายวิจัยจาก 10x รีเสิร์ช วิเคราะห์ว่าเม็ดเงินที่ไหลออกจากตลาด ETF ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากนักลงทุนสายเก็งกำไร เช่น เฮดจ์ฟันด์ มากกว่ากลุ่มนักลงทุนระยะยาว เขาให้ความเห็นว่า "ปริมาณการซื้อขายของ ETF ที่ลดลงทำให้สภาพคล่องของบิตคอยน์หดตัว ซึ่งอาจนำไปสู่แนวโน้มขาลงเพิ่มเติม และหากส่วนต่างของราคาฟิวเจอร์สลดลงมากกว่านี้ อาจมีแรงขายเข้ามาอีกระลอก"
หลังจากบิตคอยน์ทะลุ 100,000 ดอลลาร์ในช่วงหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ ตลาดก็ยังคงเคลื่อนไหวอย่างแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม การไหลออกของกองทุน ETF และการเปลี่ยนกลยุทธ์ของเฮดจ์ฟันด์ ส่งผลให้ตลาดเผชิญแรงกดดันจากฝั่งขายเพิ่มขึ้น นักลงทุนมองว่า หากไม่มีปัจจัยใหม่ เช่น การเปิดตัวกองทุน ETF เพิ่มเติม หรือการเข้ามาของนักลงทุนสถาบันรายใหม่ มีโอกาสที่ราคาบิตคอยน์จะปรับฐานลงไปสู่ระดับ 70,000 ดอลลาร์ในระยะสั้น
ความคิดเห็น 0