บิตคอยน์(BTC) ถูกขายทำกำไรที่แนวต้าน 114,500 ดอลลาร์ (ประมาณ 15.90 ล้านบาท) ก่อนจะถอยกลับมาเคลื่อนไหวแถวระดับ 108,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 14.99 ล้านบาท) สะท้อนให้เห็นถึงแรงซื้อในรอบก่อนที่อาจเป็นเพียง ‘คำสั่งซื้อปลอม’ เท่านั้น นักลงทุนจึงเริ่มหันมาจับตาทิศทางจากราคาปิดรายสัปดาห์และเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นหลัก
ขณะนี้ บิตคอยน์ยังเคลื่อนไหวภายในกรอบราคา 108,000–114,500 ดอลลาร์ โดยนักวิเคราะห์เจ้าของบัญชี “Rekt Capital” ระบุว่าราคาที่ดีดตัวขึ้นล่าสุดอาจนำไปสู่การสร้างจุดสูงสุดใหม่ในกราฟรายวัน แม้จะมีแรงขายช่วงสั้น แต่เขามองว่าบิตคอยน์กำลังทดสอบจุดสูงสุดเดิมในเดือนกันยายน ซึ่งเคยเป็นแนวต้านสำคัญและอาจกลับมาเป็นแนวรับได้ในไม่ช้า
ด้านสัญญาณทางเทคนิค นักวิเคราะห์ “GandalfCrypto” ชี้ว่า เกิดแท่งเทียนรูปแบบ ‘inverse hammer’ หรือ ‘ค้อนกลับหัว’ บนกราฟรายสัปดาห์ โดยปรากฏใต้ช่องว่างราคาบริเวณ 110,000–113,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 15.29–15.70 ล้านบาท) หากบิตคอยน์สามารถทะลุแนวต้านในช่วงดังกล่าวได้อีกครั้ง อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการกลับตัวขึ้น นับเป็น ‘สัญญาณซื้อ’ ที่นักลงทุนควรจับตา
ในกราฟระยะสั้น บรรยากาศยังคงไม่แน่นอน ด้าน Daan Crypto Trades เปิดเผยว่า บิตคอยน์ไม่สามารถยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200 ชั่วโมงในกราฟ 4 ชั่วโมงได้ ส่งผลให้ราคากลับมาทดสอบแนวรับใกล้เส้นค่าเฉลี่ยรายวันและระดับ 107,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 14.87 ล้านบาท) ซึ่งตามมุมมองของเขา หากบิตคอยน์ต้องการฟื้นตัวจริงจัง ควรกลับมายืนเหนือเส้นแนวโน้มในกราฟ 4 ชั่วโมงให้ได้ก่อน
ขณะที่ Lennaert Snyder นักเทรดอีกราย เสนอระดับที่น่าจับตาเช่นกัน โดยระบุจุดเข้าซื้อเมื่อเกิดการดีดตัวอยู่ที่ 107,260 ดอลลาร์ (ประมาณ 14.91 ล้านบาท) ส่วนหากราคาหลุดแนวรับที่ 105,600 ดอลลาร์ (ประมาณ 14.67 ล้านบาท) อาจเป็นสัญญาณสำหรับการขายชอร์ตเพื่อบริหารความเสี่ยง
ในอีกมุมหนึ่ง ความเชื่อมั่นของนักลงทุนยังได้รับอิทธิพลจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับ ETF บิตคอยน์ โดยข้อมูลจากแบล็คร็อกเผยว่า นักลงทุนที่ถือบิตคอยน์จำนวนมากกำลังใช้กองทุน ETF แบบสปอต เป็นเครื่องมือย้ายสินทรัพย์เข้าสู่ระบบการเงินดั้งเดิม ซึ่งการทำธุรกรรมลักษณะนี้ไม่ถือว่าเป็นเหตุให้ต้องเสียภาษี จึงกลายเป็นกลยุทธ์บริหารภาษีที่น่าสนใจสำหรับผู้ถือบิตคอยน์รายใหญ่
นอกจากนี้ ตลาดยังจับตาการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ โดยเฉพาะดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งอาจเป็น ‘ปัจจัยกระตุ้นความผันผวน’ และส่งผลต่อความเคลื่อนไหวในตลาดฟิวเจอร์สอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจุบันข้อมูลชี้ว่า สัญญาฟิวเจอร์สมียอดคงค้าง (open interest) อยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้หลายฝ่ายกังวลว่า หากราคายังคงปรับตัวลงต่อ แนวรับสำคัญอาจถูกทะลุ
แม้การพุ่งขึ้นและปรับฐานของบิตคอยน์ในรอบนี้จะดูเหมือนยังอยู่ในกรอบราคาที่จำกัด แต่ด้วย ‘สัญญาณฟื้นตัวทางเทคนิค’ และกระแสเงินที่เริ่มไหลเข้าสู่ ETF จึงอาจถือเป็นโอกาสสำหรับการเปลี่ยนแนวโน้มได้อีกครั้ง โดยเฉพาะหากราคาปิดสัปดาห์และผลการประกาศ CPI ออกมาในทิศทางสนับสนุน ราคาบิตคอยน์อาจกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้งในรอบปี
ความคิดเห็น 0