การแข่งขันระดับโลกเพื่อครอบครอง ‘อธิปไตย AI’ กำลังร้อนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยรายงานล่าสุดของไทเกอร์รีเสิร์ช(Tiger Research) ชี้ว่า ‘อธิปไตย AI’ หรือ Sovereign AI กำลังกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการรักษา *อธิปไตยทางดิจิทัล* และการมี *เอกราชทางเศรษฐกิจ* — ไม่ใช่แค่ทางเลือกอีกต่อไป ซึ่งโครงการหลักที่อยู่ในศูนย์กลางของกระแสนี้ คือ ‘กราเดียนต์(Gradient)’ — ระบบนิเวศ AI แบบกระจายศูนย์ ที่ตั้งเป้าล้มโครงสร้างดั้งเดิมที่ผูกขาดโดยบิ๊กเทค
กราเดียนต์นำเสนอระบบ AI แบบกระจายศูนย์ ซึ่งเชื่อมต่อทรัพยากรการประมวลผลทั่วโลกจากอุปกรณ์ที่ไม่ได้ใช้งานให้สามารถทำงานร่วมกันได้เหมือนเป็นเครือข่ายเดียว ตามรายงานของไทเกอร์รีเสิร์ช โครงการดังกล่าวช่วยเพิ่ม *การเข้าถึงและความเป็นอิสระทาง AI* พร้อมลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากผู้เล่นรายใหญ่ เช่น OpenAI หรือ Anthropic อย่างมีนัยสำคัญ
การฝึกและรันโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) เช่น GPT-4 ต้องใช้งบประมาณมหาศาล โดยมีการประเมินว่าค่าใช้จ่ายในการฝึก GPT-4 เพียงอย่างเดียวอาจสูงถึง 40 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็น *ข้อจำกัดเชิงทุน* ที่กลายเป็นอุปสรรคสำคัญ ส่งผลให้ผู้ใช้งานต้องยึดติดกับบริการแบบ API จากบริษัทกลุ่มน้อยเพียงไม่กี่ราย
ตัวอย่างล่าสุดในปี 2025 ยิ่งสะท้อนความเสี่ยงในโครงสร้างดังกล่าว เมื่อแอนโทรปิกตัดการเข้าถึง API ของ ‘โคลด(Claude)’ โดยไม่แจ้งล่วงหน้า หลังจากมีข่าวเข้าซื้อกิจการสตาร์ทอัพคู่แข่งของวินด์เซิร์ฟ(Windsurf) ซึ่งส่งผลให้บริการของวินด์เซิร์ฟต้องหยุดชะงัก และแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึง *จุดอ่อนด้านโครงสร้าง* และความเปราะบางจากการพึ่งพาเพียงบริษัทเดียว
กราเดียนต์ตอบโต้ปัญหานี้ด้วยแนวคิด ‘โอเพน อินเทลลิเจนซ์’ — สิ่งแวดล้อมที่ใครก็สามารถฝึกและรันโมเดล AI ได้อย่างอิสระ โดยมีเทคโนโลยีหลัก 3 ตัว ได้แก่ ลาติกา(Lattica), แพารัลแลกซ์(Parallax) และเอคโค่(Echo) ลาติกาใช้การเชื่อมต่อแบบ P2P เพื่อรวมทรัพยากรทั่วโลก แพารัลแลกซ์ช่วยให้แต่ละอุปกรณ์สามารถประมวลผล LLM ร่วมกันแบบกระจาย และเอคโค่ใช้เสริมกระบวนการฝึก AI ด้วยเฟรมเวิร์กเสริมเรียนรู้แบบทั่วไป
จุดเด่นของเอคโค่ คือการแยกระบบฝึกและระบบทำนายออกจากกัน ทำให้การฝึกที่เดิมต้องใช้ GPU ขั้นสูงสามารถจัดสรรไปยังอุปกรณ์ทั่ว ๆ ไปได้ — ส่งผลให้ผู้สร้างเนื้อหาและสตาร์ทอัพที่ไม่มีทรัพยากรขั้นสูงสามารถเข้าถึง AI ได้โดยไม่สูญเสียประสิทธิภาพ
แนวทางของกราเดียนต์จึงมุ่งเน้นไปที่ *การกระจายอำนาจของ AI และการเข้าถึงแบบไม่มีข้อจำกัด* พร้อมรองรับการปรับใช้ในหลายประเทศที่ยังไม่มีนโยบาย AI ชัดเจน ไทเกอร์รีเสิร์ชให้ความเห็นว่า เทคโนโลยีของกราเดียนต์คือ “*นวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตยดิจิทัล* ที่ช่วยสลายการผูกขาด” และอาจกลายเป็น *โครงสร้างพื้นฐานสำคัญของอธิปไตย AI*
อย่างไรก็ตาม อุปสรรคด้านเทคนิคยังคงมีอยู่มาก ตั้งแต่การยืนยันความถูกต้องของผลลัพธ์ในเครือข่ายกระจาย ความน่าเชื่อถือของผู้ร่วมใช้งาน ไปจนถึงการป้องกันการละเมิดสิทธิ์ กราเดียนต์จึงเปิดตัวโครงการเสริม เช่น เวอรีแอนด์เวล(Veri & Veil), มิราจ(Mirage), เฮลิกซ์(Helix) และซิมโฟนี(Symphony) เพื่อพัฒนาฟีเจอร์ความปลอดภัยและความแม่นยำเพิ่มเติม
สำหรับประเทศกำลังพัฒนาที่ยังไม่มีโครงสร้างพื้นฐาน AI ชัดเจน แนวทาง *อินฟราสตรักเจอร์แบบเปิด* จะเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ ๆ และโมเดล AI ที่รองรับภาษาและวัฒนธรรมหลากหลายก็จะมีบทบาทสำคัญในการสร้างสมดุลในระบบนิเวศ AI ระดับโลก
‘อธิปไตย AI’ จึงไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่เป็นการเคลื่อนไหวที่ผู้คน บริษัท และประเทศกำลังร่วมกันผลักดัน เพื่อ *ปกป้องสิทธิ์ของตนในการควบคุมและออกแบบ AI* ในแบบที่ไม่ต้องขึ้นกับบิ๊กเทคอีกต่อไป แล้วกราเดียนต์จะสามารถเป็นต้นแบบของระบบ AI ที่กระจายศูนย์ทั่วโลกได้จริงหรือไม่ สิ่งนี้คือประเด็นที่น่าจับตาในอนาคตข้างหน้า
ความคิดเห็น 0