บิตคอยน์(BTC) ยังคงเผชิญกับแรงกดดันจากการขาย ทำให้ราคาหล่นต่ำกว่า 90,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.2 ล้านบาทอีกครั้ง หลังจากที่เคยทะลุระดับ 94,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1.25 ล้านบาท) ไปชั่วครู่ โดยปัจจัยสำคัญที่ฉุดราคารอบนี้คือกระแสการไหลออกของเงินลงทุนจากกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยนหรือ ETF บิตคอยน์ขนาดใหญ่ของแบล็คร็อกอย่าง ‘IBIT’
ตามข้อมูลล่าสุดจากบริษัทวิจัย FarSide พบว่า IBIT มีเงินไหลออกสุทธิติดต่อกันถึง 11 วันจากทั้งหมด 15 วันทำการที่ผ่านมา โดยมีเพียง 2 วันเท่านั้นที่มีเงินไหลเข้าสุทธิ ยอดรวมของเงินทุนที่ไหลออกในช่วงดังกล่าวแตะที่ประมาณ 2.65 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 96,000 ล้านบาท) ซึ่งสวนทางกับกระแสการลงทุนที่เคยพุ่งสูงในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา โดยเฉพาะเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน มีเงินไหลออกจาก IBIT มูลค่าสูงถึง 523.2 ล้านดอลลาร์ (เกือบ 18,000 ล้านบาท) ทำสถิติใหม่เป็นการไหลออกวันเดียวที่มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ไม่ใช่เพียงแบล็คร็อกเท่านั้นที่ประสบกับเหตุการณ์นี้ ‘FBTC’ ของฟิเดลิตี้ก็ได้รับผลกระทบจากการถอนตัวของนักลงทุนเช่นกัน เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน มีเงินทุนไหลออกมูลค่า 356.6 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 12,000 ล้านบาท) และอีกครั้งในวันที่ 7 พฤศจิกายนที่ 256.7 ล้านดอลลาร์ (ราว 9,000 ล้านบาท) รวมแล้วตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม กองทุน ETF บิตคอยน์ในสหรัฐทั้งหมดสูญเสียเงินทุนรวมกันกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ หรือกว่า 170,000 ล้านบาท
แรงเทขายจากกองทุนเหล่านี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อราคาของบิตคอยน์ โดยในช่วงปลายเดือนก่อน ราคาบิตคอยน์ยังยืนเหนือระดับ 116,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1.56 ล้านบาท) แต่ล่าสุดราคาปรับตัวลดลงมากกว่า 26,000 ดอลลาร์หรือราว 740,000 บาท ร่วงกลับมาซื้อขายอยู่ในระดับต่ำกว่า 90,000 ดอลลาร์อีกครั้ง
สภาพตลาดของอีเธอเรียม(ETH) ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันนัก โดยเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ราคายังแตะระดับใกล้ 4,800 ดอลลาร์ (ประมาณ 640,000 บาท) แต่ล่าสุดปรับลงต่ำกว่า 3,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 400,000 บาท) และกองทุน ETF ของอีเธอเรียมเองก็มีเงินไหลออกเกือบตลอดช่วง 28 วันทำการที่ผ่านมา โดยมีเพียง 6 วันที่เงินไหลเข้าสุทธิเท่านั้น
‘คำ’ ที่ชัดเจนจากเหตุการณ์ครั้งนี้คือ การไหลออกของเงินทุนขนาดใหญ่จาก ETF ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนทั้งต่อราคาและ ‘ความเชื่อมั่น’ ของนักลงทุน โดยในระยะสั้น โอกาสที่สินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำเหล่านี้จะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งอาจไม่ใช่เรื่องง่าย หากยังไม่เห็นสัญญาณของการกลับเข้ามาใหม่ของนักลงทุนรายใหญ่ ความเคลื่อนไหวของ ETF และวิธีดำเนินกลยุทธ์ของสถาบันจะเป็นปัจจัยหลักในการชี้ทิศทางตลาดในระยะต่อไป
ความคิดเห็น 0