ในช่วงที่ตลาดคาดหวังการฟื้นตัวระยะสั้นของ *อีเธอเรียม(ETH)* ราคาสกุลเงินดิจิทัลนี้กำลังมีแนวโน้มเข้าสู่ช่วงแนวต้านที่ระดับ 3,270–3,360 ดอลลาร์ หรือราว 438–450 ล้านบาท ขณะที่ราคาปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 3,100 ดอลลาร์ (ประมาณ 415 ล้านบาท) โดยเพิ่มขึ้นราว 1% ภายใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา แม้ยอดรายสัปดาห์จะยังติดลบกว่า 11% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าแรงกดดันฝั่งขาลงยังคงมีอยู่
นักวิเคราะห์สายคริปโตอย่าง *คริปโต พาเทล* กล่าวว่า อีเธอเรียมได้แสดงสัญญาณ 'break of structure' หรือโครงสร้างที่ถูกทำลายในระดับราคา 2,940 ดอลลาร์ (ประมาณ 393 ล้านบาท) ซึ่งเขาชี้ว่านี่คือจุด ‘Premium Zone’ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดแรงดีดกลับเพื่อชดเชยช่องว่างของตลาด หากระดับราคานี้ถูกยึดไว้ได้ ก็อาจหนุนราคาให้สูงขึ้นอีก 14–15% ไปที่ช่วง 3,270–3,360 ดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม พาเทลเตือนว่าพื้นที่นี้ยังถือเป็นเขตกำไรที่มีความไม่สมดุลในมูลค่า (Fair Value Gap หรือ FVG) และตราบใดที่ยังไม่สามารถทะลุผ่าน 3,565 ดอลลาร์ (ราว 477 ล้านบาท) ได้ การเคลื่อนไหวเหล่านี้ก็ยังจัดเป็นเพียงการดีดขึ้นในระยะสั้นเท่านั้น
ด้าน *เลนาร์ด สไนเดอร์* นักวิเคราะห์อีกคน กล่าวว่า ขณะนี้อีเธอเรียมถูกปฏิเสธที่ระดับแนวต้าน 3,200 ดอลลาร์ (ประมาณ 428 ล้านบาท) และอาจกำลังพยายามสร้างฐานรับใหม่ที่ 2,990 ดอลลาร์ (ประมาณ 399 ล้านบาท) เขาเสริมว่า หากราคาสามารถฝ่าแนวต้าน 3,200 ดอลลาร์ได้อีกครั้ง มีโอกาสทดสอบระดับ 3,350 ดอลลาร์ (ราว 449 ล้านบาท) อย่างไรก็ตาม บริเวณนี้ก็ยังเป็นจุดที่ผู้เล่นฝั่งขาย (short position) อาจเข้าสู่ตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงก่อนและหลังการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ซึ่งอาจทำให้ตลาดมีความผันผวนสูง
ในแง่ของจิตวิทยานักลงทุนและสัญญาณทางเทคนิค *คริปโตบอส* เปิดเผยว่า ในกราฟ ETH/BTC ได้ปรากฏรูปแบบ ‘ธงขาขึ้น’ (bullish flag) ขณะที่ตัวชี้วัด MACD กำลังตีกลับเป็นขาขึ้น และ RSI ได้ทะลุแนวต้านของแนวโน้มขาลงที่ยืดเยื้อมานานถึง 3 เดือน สร้างความหวังต่อการฟื้นฟูระยะสั้น อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลบนเชนพบว่า ‘วาฬ’ ซึ่งถือครองอีเธอเรียมระหว่าง 1,000–10,000 ETH ได้ทยอยขายรวมกันกว่า 230,000 โทเค็นภายใน 7 วันที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนว่ากลุ่มนักลงทุนรายใหญ่บางส่วนเลือกที่จะลดความเสี่ยง แม้ตลาดกำลังพยายามรีบาวด์
บรรยากาศโดยรวมของตลาดบ่งชี้ว่า *อีเธอเรียม* ได้เข้าสู่ช่วงสร้างสภาพคล่องใหม่ โดยตัวชี้วัดหลายตัวแสดงให้เห็นถึงการสร้างฐานราคาในระยะสั้น ซึ่งอาจเปิดทางให้เกิดการรีบาวด์ทางเทคนิคไปยังแนวต้านสำคัญ อย่างไรก็ตาม ‘คำ’ การกลับตัวเทรนด์ในระยะยาวยังต้องพึ่งพาแรงซื้อมากกว่านี้ พร้อมกับการคลี่คลายความเสี่ยงจากปัจจัยมหภาคที่ยังคงปกคลุมตลาดอยู่ในขณะนี้
ความคิดเห็น 0