บิตคอยน์(BTC) ร่วงลงสู่ระดับ 84,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 12,353,000 บาท) ในวันจันทร์ หลังจากไม่สามารถทะลุแนวต้านที่ 92,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 13,527,000 บาท) ได้ ส่งผลให้เกิดกระแสขายอย่างหนักตลอดสองวันที่ผ่านมา โดยมีการชำระบัญชีตำแหน่งซื้อ(Long Position) มูลค่ารวมกว่า 388 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 57,090 ล้านบาท) สะท้อนถึงความวิตกกังวลของนักลงทุนที่เพิ่มสูงขึ้นในท่ามกลางสภาวะตลาดที่แปรปรวน
นักวิเคราะห์บางรายระบุว่า ความเปราะบางในตลาดพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น โดยเฉพาะผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 20 ปีที่พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 25 ปี เป็นปัจจัยหนึ่งที่สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อตลาดโลก อย่างไรก็ตาม ความเห็นส่วนใหญ่ชี้ว่า แรงกดดันที่แท้จริงต่อราคาบิตคอยน์น่าจะมาจากปัญหาความเสี่ยงของสเตเบิลคอยน์ ความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ และความกังวลเกี่ยวกับสภาพคล่องของบริษัทที่ดำเนินงานโดยใช้คริปโตเป็นหลักประกัน
ในภาพรวม ตลาดการเงินกำลังเผชิญกับความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว โดยเฉพาะบริษัทประเภทรีเซิร์ฟที่ใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน กำลังเผชิญแรงกดดันจากการถอนเงินอย่างฉับพลัน ส่งผลให้ราคาบิตคอยน์ดิ่งลง และกระตุ้นคำสั่งขายอัตโนมัติจากระบบ 'สต็อปลอส' ซึ่งยิ่งเร่งให้การปรับฐานรุนแรงยิ่งขึ้น
ในขณะที่ตลาดยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวอย่างชัดเจน ความเห็นส่วนใหญ่เตือนว่าควรใช้กลยุทธ์แบบ 'ระมัดระวัง' เป็นหลัก นักลงทุนควรติดตามตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ ข่าวสารเกี่ยวกับการกำกับดูแล และความเคลื่อนไหวของสเตเบิลคอยน์อย่างใกล้ชิด เพราะปัจจัยเหล่านี้ล้วนมีผลกระทบต่อตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในระยะสั้นและกลาง
*ความคิดเห็น: ความผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาดคริปโตยังสะท้อนถึงธรรมชาติของสินทรัพย์ประเภทนี้ที่ยังคงเปราะบางต่อปัจจัยภายนอก ทั้งเศรษฐกิจมหภาคและการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายการกำกับ ซึ่งนักลงทุนควรใช้ความอดทนและกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับสภาวะตลาดในขณะนี้*
ความคิดเห็น 0