สเตรทิจี(Strategy) บริษัทจดทะเบียนที่ถือครองบิตคอยน์(BTC) มากที่สุดในโลก เตรียมความพร้อมทางการเงินด้วยการขายหุ้นในตลาด สร้างเงินสดสำรองกว่า 2.1 ล้านล้านวอน พร้อมเดินหน้าซื้อบิตคอยน์เพิ่ม จนยอดสะสมแตะระดับ ‘สัญลักษณ์’ ที่ 650,000 BTC ตอกย้ำกลยุทธ์ที่เน้น ‘บิตคอยน์’ เป็นแกนกลางของแผนการเงินและการป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนในตลาด
เมื่อวันที่ 24 ตามรายงานของการเปิดเผยข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ของสหรัฐ(SEC) สเตรทิจีประกาศว่าบริษัทได้จัดหาเงินสดจำนวน 1.44 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2.1 ล้านล้านวอน) ผ่านการขายหุ้นสามัญประเภท A แบบ ‘ตลาดภายใน’ (offering) แผนการใช้เงินนี้ได้แก่ การจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นรองและสามัญ, การชำระดอกเบี้ยพันธบัตรของบริษัท และนำไปต่อยอดในด้านอื่นที่เกี่ยวข้อง
สเตรทิจีเผยว่า เงินสำรองดังกล่าวจะสนับสนุนการจ่ายเงินปันผลอย่างน้อย 12 เดือน และเตรียมพร้อมสำหรับระยะเวลาได้สูงสุดถึง 24 เดือน “เงินสหรัฐสำรองนี้จะทำหน้าที่เป็นเสาหลักในการจ่ายเงินปันผลระยะยาวในอนาคต” บริษัทกล่าว
นอกจากการจัดเงินสดสำรอง สเตรทิจียังเดินหน้าซื้อบิตคอยน์เพิ่มเติมอีก 130 BTC โดยใช้เงินราว 11.7 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 171.6 พันล้านวอน) ส่งผลให้ยอดการถือครองรวมของบริษัททะลุ 650,000 BTC คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 48.38 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 70.99 ล้านล้านวอน) ซึ่งถือเป็นการลงทุนในสินทรัพย์บล็อกเชนที่เกินกว่ามาตรฐานขององค์กรธุรกิจทั่วไป
เงินสดสำรองที่จัดหาได้ในครั้งนี้คิดเป็น 2.2% ของมูลค่าบริษัท, 2.8% ของทุนของบริษัท และ 2.4% ของมูลค่าบิตคอยน์ที่ถือครองอยู่ การมี ‘เงินสดไว้ในมือ’ ยังคงเป็นกุญแจสำคัญในการเสริมความมั่นคงทางการเงินท่ามกลางสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความผันผวนสูง
การเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดสหรัฐยอมรับ ETF บิตคอยน์แบบสปอต (Spot ETF) และมีการไหลเข้าของเงินทุนจากนักลงทุนสถาบันอย่างรวดเร็ว การรักษาสถานะเป็น ‘ผู้ถือ BTC รายใหญ่’ พลิกภาพลักษณ์ของสเตรทิจีให้กลายเป็นผู้นำด้านกลยุทธ์ดิจิทัลที่พร้อมยืนหยัดในภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง
*ความคิดเห็น: กลยุทธ์ของสเตรทิจีที่ผสมผสานระหว่างการครองสินทรัพย์บิตคอยน์และเตรียมเงินสดสำรองอาจเป็นต้นแบบให้บริษัทอื่นๆ ที่ต้องการลงทุนในคริปโตฯ แต่ยังกังวลด้านความมั่นคงทางการเงิน ทั้งยังสะท้อนวิวัฒนาการของ ‘บริษัทบล็อกเชน’ ที่ไม่ใช่แค่การถือเหรียญ แต่พัฒนาโครงสร้างการเงินให้ยั่งยืนในระยะยาว*
ความคิดเห็น 0