เมซซารี รีเสิร์ช(Messari Research) เปิดเผยรายงานล่าสุดว่า โปรโตคอลอินเจกทีฟ(Injective) กำลังได้รับความสนใจในฐานะกรณีศึกษาสำคัญของการนำ ‘สินทรัพย์ในโลกจริง’ หรือ RWA (Real World Assets) มาพัฒนาสู่ตลาดฟิวเจอร์สแบบไม่มีวันหมดอายุ (Perpetual Futures) บนโลก Web3 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวิธีการใหม่ในการย้ายโครงสร้างทางการเงินแบบดั้งเดิมเข้าสู่เครือข่ายบล็อกเชน
ณ วันที่ 2 พฤศจิกายน 2025 พบว่าตลาด RWA ฟิวเจอร์สของอินเจกทีฟมียอดการซื้อขายสะสมทะลุ 6 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นถึง *221%* จากระดับ 1.68 พันล้านดอลลาร์เมื่อวันที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยมีแนวโน้มแตะระดับ *6.5 พันล้านดอลลาร์แบบปีต่อปี* (Annualized) ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่ง ‘เมซซารี’ ระบุว่า ตัวเลขนี้คือหลักฐานความเชี่ยวชาญด้านการเงินออนเชนของอินเจกทีฟ พร้อมกับสะท้อน ‘ความต้องการจากตลาดที่เติบโตชัดเจน’
หนึ่งในจุดเด่นคือการที่หุ้นกลุ่ม ‘Magnificent 7’ มีส่วนแบ่งถึง 42.6% ของตลาด RWA ฟิวเจอร์ส โดยมีไมโครซอฟท์(MSFT) ยืนหนึ่งด้วยมูลค่าซื้อขาย 510.8 ล้านดอลลาร์ ตามด้วยเอ็นวีเดีย(NVDA) ที่ 426.6 ล้านดอลลาร์ ส่วนเทสลา(TSLA) และกูเกิล(GOOGL) ต่างทำยอดใกล้เคียงกันที่ประมาณ 370 ล้านดอลลาร์ ตลาดนี้ยังรองรับ *เลเวอเรจสูงสุดถึง 25 เท่า* และซื้อขายได้ตลอด 24 ชั่วโมง 365 วัน โดยไม่ขึ้นอยู่กับการเปิด-ปิดของตลาดหุ้นแบบดั้งเดิม
ไม่เพียงแค่หุ้นชื่อดังเท่านั้น อินเจกทีฟยังให้บริการฟิวเจอร์สของบริษัทที่เชื่อมโยงกับคริปโตโดยตรง เช่น คอยน์เบส(COIN), โรบินฮูด(HOOD), และเซอร์เคิล รวมแล้วมีมูลค่าการซื้อขายรวม 666.7 ล้านดอลลาร์ สำหรับตลาดฟิวเจอร์สที่อิงกับสินทรัพย์ดิจิทัลของบริษัท มายโครสแตรทิจี(MSTR) มีบทบาทโดดเด่น โดยถือสัดส่วนสูงถึง 86% ของกลุ่มนี้ ด้วยการซื้อขายมูลค่า 313.3 ล้านดอลลาร์ ขณะที่สินค้า SBET (สินค้าที่อิงจาก Sharplink) ก็เริ่มสร้างแรงดึงดูดในตลาดด้วยยอด 49.7 ล้านดอลลาร์
อีกหนึ่งนวัตกรรมสำคัญคือ ‘ตลาดฟิวเจอร์สหุ้นก่อน IPO’ ที่เปิดให้บริการเมื่อเดือนตุลาคม 2025 ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถลงทุนในบริษัทเอกชนระดับยูนิคอร์น ก่อนการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็น *โอเพนเอไอ(OpenAI)*, *สเปซเอ็กซ์(SpaceX)*, หรือ *แอนโทรปิก(Anthropic)* โดยเฉพาะโอเพนเอไอมีมูลค่าการซื้อขายสะสมสูงสุดที่ 14.3 ล้านดอลลาร์
สำหรับตลาดสินค้าทางเลือกที่ไม่ใช่หุ้น อินเจกทีฟได้พัฒนาช่องทางเทรดครอบคลุมทองคำและเงิน ซึ่งเป็นสินค้าหลักในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์(futures) ส่วนตลาดอัตราแลกเปลี่ยนก็เน้นไปที่คู่ EUR/USDT และ GBP/USDT โดยเปิดให้ใช้เลเวอเรจสูงสุดถึง 100 เท่า ทั้งยังมีผลิตภัณฑ์ฟิวเจอร์สดัชนี เช่น BUIDL จากแบล็คร็อก และ Helix AI Index ซึ่งรวมกันทำยอดกว่า 653.7 ล้านดอลลาร์
เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2025 อินเจกทีฟเปิดตัว ‘EVM เมนเน็ต’ ของตัวเอง ซึ่งเป็นก้าวย่างสำคัญในการเชื่อมต่อระบบ WebAssembly(WASM) เดิมกับโลกของอีเธอเรียม ทำให้สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ทางการเงินบนบล็อกเชนได้หลากหลายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น *iAssets* หรือฟิวเจอร์สอื่นๆ ด้วยโครงสร้าง MultiVM ที่เอื้อต่อการทำงานระหว่างโปรแกรมหลากหลายภาษา ถือเป็นกลยุทธ์เร่งการเติบโตของระบบนิเวศ Web3
ในรายงานยังระบุว่า อินเจกทีฟมีความโดดเด่นด้านการบริหารสภาพคล่อง โดยพัฒนาเครื่องมือสร้างฟิวเจอร์สแบบไม่ต้องใช้หลักประกันเกิน (Over-collateralization) แต่ใช้เฉพาะสภาพคล่องจากผู้ดูแลตลาด (Market Maker) แทน ซึ่งช่วยเพิ่ม ‘ประสิทธิภาพของสินทรัพย์’ และลดข้อจำกัดของโปรโตคอลเก่าแบบ CDP
ท้ายที่สุด ‘เมซซารี’ ชี้ว่าปัจจัยส่งเสริมการเติบโตของอินเจกทีฟในอนาคตจะมาจากทั้งการเพิ่มหุ้นใหม่ ๆ ในฟิวเจอร์ส การขยายกลุ่มสินค้าหรืออัตราแลกเปลี่ยน และการเติบโตของตลาด ‘ฟิวเจอร์สก่อน IPO’ โดยอินเจกทีฟได้พิสูจน์ *Product-Market Fit* แล้วในตลาดผู้นำเฉพาะทาง ซึ่งจะสามารถขยายกลุ่มผู้ใช้งานภายในระบบนิเวศ ‘Web3 บนเครือข่ายอีเธอเรียม’ ได้ในวงกว้างต่อไป
ความคิดเห็น 0