บิตคอยน์(BTC) ร่วงแรง กดดันมูลค่าตลาดรวมของคริปโตใกล้หลุดแนวรับทางจิตวิทยาที่ระดับ 3 ล้านล้านดอลลาร์ (ประมาณ 142 ล้านล้านบาท) โดยมูลค่าตลาดรวมร่วงลงสู่ระดับ 3.02 ล้านล้านดอลลาร์ (ประมาณ 143 ล้านล้านบาท) ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบสามสัปดาห์ หลังจากที่นักลงทุนเทขายคริปโตกว่า 1.4 แสนล้านดอลลาร์ (ประมาณ 4.9 ล้านล้านบาท) ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง
การร่วงลงรอบนี้มี *บิตคอยน์* เป็นศูนย์กลางอีกครั้ง โดยบิตคอยน์ร่วงทะลุแนวรับ 9 หมื่นดอลลาร์ (ประมาณ 3.2 ล้านบาท) เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ก่อนจะทรุดลงอีกกว่า 5,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 180,000 บาท) มาหยุดที่ระดับ 85,200 ดอลลาร์ (ประมาณ 3 ล้านบาท) ซึ่งถือว่าเป็นราคาต่ำสุดนับตั้งแต่การล้างเลเวอเรจครั้งใหญ่เมื่อต้นเดือนธันวาคม ขณะที่เช้าวันอังคารในช่วงเวลาเทรดของเอเชีย ยังไม่พบสัญญาณฟื้นตัว บิตคอยน์ยังซื้อขายต่ำกว่า 86,000 ดอลลาร์
นักวิเคราะห์ชี้ว่า การร่วงในรอบนี้มีหลายปัจจัยเกี่ยวข้อง โดย ‘NoLimit’ วิเคราะห์ว่า การที่จีนกลับมาควบคุมการทำเหมืองบิตคอยน์อีกครั้งและเหมืองในท้องถิ่นบางรายหยุดดำเนินการ ส่งผลคนเทขายตามแรงกดดัน ขณะเดียวกัน แบงก์ชาติญี่ปุ่นอาจเพิ่มแรงกดดันเข้าสู่ตลาดอีกในสัปดาห์นี้
ฝั่งนักวิเคราะห์อีกคนอย่าง ‘Sykodelic’ พุ่งเป้าไปที่ตลาด *อนุพันธ์* พร้อมระบุว่าในช่วง 6 สัปดาห์ที่ผ่านมา มูลค่าของ *สัญญาเปิด (Open Interest)* เพิ่มสูงขึ้นถึงจุดสูงสุดใหม่ ซึ่งแสดงถึงการที่ตลาดเทมาทางฝั่งขาย โดยเฉพาะการที่นักลงทุนแห่เปิดสถานะ ‘*ชอร์ต*’ เพื่อลงทุนในทิศทางขาลง
ข้อมูลจาก Deribit ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มอนุพันธ์ชี้ว่า มีสัญญาเปิดมากถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 7 แสนล้านบาท) อยู่ในช่วงราคา 85,000 ดอลลาร์ หากราคาลงมาสัมผัสระดับนี้อีก จะยิ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดแรงขายตามอีกระลอก โดยเฉพาะจากฝั่งชอร์ต ซึ่งอาจเร่งให้เกิดการเทขายทั้งในตลาดฟิวเจอร์สและสปอต
‘เจมส์ เช็ค’ นักวิเคราะห์อาวุโส ระบุว่า ความเครียดในตลาดบิตคอยน์กลับมาอยู่ในระดับเดียวกับตอนตลาดหมีในปี 2022 โดยปัจจุบันมี *ขาดทุนยังไม่รับรู้* (Unrealized Losses) อยู่ในพอร์ตของนักลงทุนกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3.5 ล้านล้านบาท) นอกจากนี้ *แฮชเรต* หรือความยากในการขุดลดลง และเงินทุนไหลเข้าสู่ ETF ของบิตคอยน์กว่า 60% ยังติดลบเมื่อเทียบกับราคาซื้อ ล่าสุดบริษัทที่ถือบิตคอยน์ในฐานะสินทรัพย์ เริ่มเผชิญกับสถานการณ์ที่ราคาซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าสุทธิของบริษัท
‘Skew’ นักวิเคราะห์อีกคน ชี้ว่าตลาดกำลังติดอยู่ในวัฏจักรแบบ ‘รูปแบบบาร์ต (Bart Pattern)’ ซึ่งมีลักษณะเป็นการพุ่งขึ้นเร็ว ก่อนร่วงลงอย่างหนัก โดยไม่มีแนวโน้มที่ชัดเจน พร้อมชี้ว่าอุปสงค์และอุปทานในตลาดไม่มีความสมดุล เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ราคายิ่งผันผวน
ปัจจัยด้าน ‘*กฎหมาย*’ จากฝั่งสหรัฐฯ ก็เข้ามาซ้ำเติม โดยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการธนาคารของวุฒิสภาสหรัฐฯ ได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า ปีนี้จะไม่มีการลงมติใดๆ เกี่ยวกับร่างกฎหมายโครงสร้างตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งมีใจความสำคัญในการมอบอำนาจกำกับดูแลต่อตลาดสปอตให้กับคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสัญญาล่วงหน้า (CFTC)
สถานการณ์นี้ส่งผลให้ความหวังในการผลักดันให้คริปโตเข้าสู่ระบบการกำกับดูแลอย่างเต็มรูปแบบภายในปีนี้ แทบหลุดลอย และทำให้บรรยากาศการลงทุนช่วงปลายปีนี้ชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด
*ความคิดเห็น*: การร่วงของราคาบิตคอยน์ในรอบนี้ไม่ได้เกิดจากปัจจัยเดียว แต่เป็นการสะสมของความกังวลในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการกำกับดูแลที่ไม่แน่นอนจากทั้งจีนและสหรัฐฯ รวมถึงแรงขายจากฝั่งอนุพันธ์ที่สะสมมานาน การที่ราคาลงมาทดสอบแนวรับอีกครั้ง อาจเปิดช่องให้เกิดการดีดกลับแรง หากเกิดสิ่งที่เรียกว่า 'ชอร์ตสควีซ' ในช่วงที่นักลงทุนเทขายมากเกินไป
ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวใน *สัญญาเปิด* และท่าทีของหน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐฯ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนจับตามองในช่วงถัดไป
ความคิดเห็น 0