การเสนอขายหุ้น IPO ของแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตชื่อดังในฮ่องกงอย่าง *แฮชคีย์(HashKey)* ไม่ใช่แค่การระดมทุนธรรมดา แต่เป็นก้าวสำคัญในการยกระดับเข้าสู่โครงสร้างพื้นฐานทางการเงินระดับสถาบัน ตามรายงานของ *เอ็กซ์ซิริสต์(Exilist)* สถาบันวิจัยด้านคริปโตระดับโลก เมื่อเร็ว ๆ นี้
ปัจจุบัน จีนแผ่นดินใหญ่ยังคงควบคุมกิจกรรมเกี่ยวกับ ‘สเตเบิลคอยน์’ และสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างเข้มงวด แต่ทางฝั่งฮ่องกงกลับเลือกแนวทาง ‘จัดระเบียบพร้อมกฎเกณฑ์’ โดย IPO ครั้งนี้ของแฮชคีย์ถือเป็นสัญญาณของการขยับสู่ระดับ ‘อินฟราสตรัคเชอร์’ มากกว่าการมุ่งหวังกำไรระยะสั้น
แฮชคีย์ตั้งเป้าระดมทุนราว 206 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.6 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง) ซึ่งมีแผนนำไปใช้ในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การพัฒนาเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐาน (40%), การขยายตลาด (40%), การพัฒนาองค์กรและบุคลากร (10%) และค่าใช้จ่ายทั่วไปพร้อมเงินสำรอง (10%) โดยเฉพาะในด้านอินฟราสตรัคเชอร์ แอเรียสำคัญได้แก่ การสร้าง ‘สภาพคล่องที่ใช้ร่วมกัน (shared liquidity)’, การปรับปรุงระบบรับฝากสินทรัพย์ (custody system), และการขยายผลิตภัณฑ์ที่อยู่ภายใต้การควบคุมตามกฎระเบียบ ซึ่งสะท้อนเป้าหมายของ *การสร้างระบบซื้อขายที่สอดคล้องกับข้อกำหนดด้านกฎหมาย*
ทางเอ็กซ์ซิริสต์ระบุเพิ่มเติมว่า การเคลื่อนไหวนี้บ่งชี้ว่าแฮชคีย์ไม่ได้มองตลาดจากมุมมองการตลาดระยะสั้น แต่ตั้งใจปักหลักภายใต้กรอบกฎหมาย โดยมีเป้าหมายที่ความยั่งยืนในระยะยาว
ระบบกำกับดูแลของฮ่องกง เช่น VATP (Virtual Asset Trading Platform) ยังมีข้อจำกัดในด้าน ‘สภาพคล่องเฉพาะถิ่น’ ซึ่งอาจทำให้คุณภาพการจับคู่คำสั่งซื้อ-ขายต่ำกว่าของระดับโลก อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการหลักทรัพย์และฟิวเจอร์สของฮ่องกง (SFC) ได้ออกร่างแก้ไขกฎหมายเปิดทางให้บริษัทที่ได้รับใบอนุญาตสามารถ ‘แบ่งปันออร์เดอร์บุ๊ค (orderbook)’ กับบริษัทในเครือนอกประเทศ ซึ่งถือเป็นการเชื่อมต่อกับสภาพคล่องระดับโลกอย่างเป็นทางการ
แฮชคีย์ถือว่าเป็นกรณีพิเศษในเรื่องนี้ เพราะมีโครงสร้างแบบคู่ขนาน ได้แก่ แพลตฟอร์มท้องถิ่น ‘HashKey Exchange’ ที่ได้รับใบอนุญาตของฮ่องกง และ ‘HashKey Global’ สำหรับตลาดโลก ซึ่งมีหน้าที่ชัดเจนและเสริมกัน โดย IPO ครั้งนี้จะเป็นโอกาสในการรวมระบบการดำเนินงานภายใต้มาตรฐานสถาบันเดียวกัน โดยใช้ *ออร์เดอร์บุ๊คร่วม* เป็นตัวเชื่อมโยงการทำงาน ขยายศักยภาพทั้งด้านผลิตภัณฑ์และสภาพคล่อง
แผนเหล่านี้ยังส่งผลต่อสถานะของเหรียญประจำแพลตฟอร์มอย่าง *$HSK* อย่างมีนัยสำคัญ เดิมทีเหรียญนี้ถูกมองว่าเป็นโทเคนการใช้งานทั่วไป แต่หลัง IPO จะถูกกำกับภายใต้กรอบบัญชีของบริษัทมหาชน โดยอาจถูกบันทึกเป็น *ค่าตอบแทนที่ไม่ใช่เงินสด* หรือ *หนี้สัญญา* ทำให้ตัวชี้วัดสำคัญกลายเป็น *อัตราการใช้งาน(token utilization)* ที่ต้องมีการเปิดเผยข้อมูลชัดเจน ในปี 2025 ครึ่งปีแรก พบว่าอัตราการใช้งานอยู่ที่เพียง 0.49% และสัดส่วนส่วนลดค่าธรรมเนียมยังต่ำ
นอกจากนี้ ยังมีนโยบาย *buyback & burn* ซึ่งจะถูกจัดอยู่ในนโยบายการเงินอย่างเต็มรูปแบบ โดยบริษัทจำเป็นต้องรายงานความโปร่งใส เช่น รายได้ถึงเป้าตามที่กำหนดหรือไม่ หรือมีการดำเนินการเผาเหรียญจริงหรือไม่ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนให้ *$HSK เปลี่ยนสถานะจากโทเคนโปรโมชัน เป็นสินทรัพย์ที่มีหน้าที่ตามนโยบายชัดเจน*
ดังนั้น IPO ครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องการเปิดขายหุ้นสาธารณะ แต่เป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่าแพลตฟอร์มกำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่โครงสร้าง *ตลาดทุนอย่างเป็นทางการ* พร้อมทั้งยืนยันความตั้งใจที่จะยึดมาตรฐานการควบคุมจากฮ่องกง และออกแบบระบบที่จะ *เชื่อมต่อกับสภาพคล่องทั่วโลก*
ทั้งนี้ เอ็กซ์ซิริสต์ประเมินว่า หากโครงสร้างแบบนี้สามารถรักษาความสมดุลกับข้อจำกัดการควบคุมจากจีนแผ่นดินใหญ่ได้ ฮ่องกงจะสามารถสร้างโมเดล Web3 สำหรับโลกการเงินของตัวเอง และแฮชคีย์จะกลายเป็น *ตัวอย่างมาตรฐานของแพลตฟอร์มในระบบนั้น*
สรุปแล้ว แก่นสำคัญของ IPO ของแฮชคีย์ไม่ได้อยู่ที่ความสำเร็จของการระดมทุนเท่านั้น แต่คือ *ความสามารถในการเชื่อมโยงแพลตฟอร์มท้องถิ่นและระดับโลก* เข้ากับกรอบกฎหมายและความต้องการสภาพคล่องในระดับนานาชาติ การกำหนดธุรกิจให้เป็น *โครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่ปฏิบัติได้จริง* คือสาระสำคัญที่สร้างความแตกต่างให้กับการเติบโตในตลาดคริปโตของฮ่องกงในอนาคต
ความคิดเห็น 0