ปี 2025 เป็นปีทองของบิตคอยน์(BTC) และตลาดคริปโตโดยรวม หลังจากที่ฝ่ายนิติบัญญัติเริ่มสนับสนุนกฎระเบียบที่เป็นมิตรกับสินทรัพย์ดิจิทัล ขณะที่วอลล์สตรีทยอมรับบิตคอยน์, อีเธอเรียม(ETH) และโซลานา(SOL) ว่าเป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่คู่ควรต่อการมีในพอร์ตการลงทุน โดยมูลค่าการไหลเข้าของเงินทุนสู่กองทุน ETF แบบสปอตบิตคอยน์รวมสูงถึง 57,000 ล้านดอลลาร์ และมูลค่าสินทรัพย์รวมในกองทุนแตะ 114,800 ล้านดอลลาร์
ขณะที่ก้าวเข้าสู่ปี 2026 คำถามสำคัญคือ ‘แรงขับเคลื่อนด้านราคา’ ระดับองค์กรและรัฐบาลที่มีบทบาทอย่างมากในปีที่แล้ว จะยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องหรือไม่
ตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา กระแสเงินไหลเข้ากองทุน ETF สปอตบิตคอยน์เริ่มชะลอลง และบางช่วงกลับกลายเป็นตลาดฝั่งขาย ส่งผลให้ราคาบิตคอยน์ร่วงลงถึง 30% และอีเธอเรียมลดลง 50%
เรย์ ซัลมอนด์ หัวหน้าฝ่ายตลาดของ Cointelegraph กล่าวระหว่างสัมภาษณ์กับ Nicole Petallides จาก Schwab Network ว่า การเคลื่อนไหวของตลาดในต้นปีนี้จะพึ่งพาหลายปัจจัย รวมถึง *กระแส AI*, นโยบายลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ, กองทุนสำรองบิตคอยน์ และฟลว์จาก ETF โดยเขากล่าวว่า “ผมอยากรู้ว่าเรื่องราวเดิมเหล่านี้จะยังมีแรงผลักดันในปี 2026 หรือไม่ หรือจำเป็นต้องมี ‘เรื่องใหม่’ เข้ามากระตุ้นตลาดอีกครั้ง”
ซัลมอนด์มองว่า อุปสงค์ในสินทรัพย์อย่างบิตคอยน์, อีเธอเรียม และโซลานา ทั้งในตลาดสปอตและ ETF จะกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมในปีนี้ นอกจากนี้ ความรู้สึกของนักลงทุนที่มีต่อ *อุตสาหกรรม AI* และสมรรถนะของดัชนีหุ้นสหรัฐอย่าง S&P 500 ก็มีอิทธิพลต่อราคาคริปโตไม่น้อย
การขยายตัวของ AI ที่พึ่งพาศูนย์ข้อมูลระดับไฮเปอร์สเกล การไหลเวียนของเงินทุน การทำ IPO รวมถึงความสามารถในการสร้างรายได้ของบริษัทเทคโนโลยี เช่น Nvidia, Meta และ Oracle ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด ท่ามกลางเสียงกังวลเรื่องสภาพคล่องและภาระหนี้ที่อาจส่งผลต่อราคาหุ้นและ *กระเพื่อมมายังตลาดคริปโต* โดยเฉพาะหากนักลงทุนเริ่มไม่มั่นใจกับกระแส ‘AI เบ่งบาน’ ว่าจะมีพื้นฐานเพียงพอหรือไม่
อีกประเด็นที่น่าติดตามในช่วงต้นปีคือการผ่านร่าง *กฎหมาย Clarity Act* ที่ถือเป็นโมเมนตัมสำคัญสำหรับอัลท์คอยน์, DeFi และสินทรัพย์คริปโตกลุ่มใหญ่ แม้จะมีความล่าช้าจากเหตุหยุดงานรัฐบาลกลาง แต่หากผ่านเป็นกฎหมาย จะช่วยให้บริษัทฟินเทคและธุรกิจคริปโตสามารถดำเนินงานภายใต้กฎที่ชัดเจนในสหรัฐ สร้างโอกาสในการดึงดูดบริษัทกลับมาตั้งสำนักงานใหญ่ในประเทศอีกครั้ง และนิยามว่า ก.ล.ต. (SEC) หรือคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ (CFTC) จะมีอำนาจดูแลสินทรัพย์ใดบ้าง พร้อมทั้งเพิ่มระดับการคุ้มครองผู้บริโภคให้กินความมากขึ้น
ในอีกด้านหนึ่ง ธนาคารกลางสหรัฐมีแนวโน้มจะเข้าสู่โหมด *นโยบายการเงินผ่อนคลาย* ภายใต้การแต่งตั้งประธานเฟดคนใหม่โดยประธานาธิบดีทรัมป์ ต้นปีนี้นักวิเคราะห์คาดว่าอาจมีการปรับลดดอกเบี้ยสูงสุดถึง 100 จุดเบส ซึ่งนักลงทุนคริปโตมองว่าเป็นสัญญาณ *เป็นบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง*
แต่ซัลมอนด์เตือนว่า ตลาดอาจอยู่ในภาวะ ‘สองโลกคู่ขนาน’ เพราะแม้เฟดกำลังลดดอกเบี้ย แต่ตลาดแรงงานอ่อนตัว, ราคาสินค้าและบริการสูงขึ้นจาก ‘ภาษีทรัมป์’, ค่าเบี้ยประกันสุขภาพพุ่ง, หนี้สินภาคครัวเรือนพอกพูน และกำลังซื้อของประชาชนลดลง ซึ่งอาจกระทบความเชื่อมั่นในระยะสั้น
ขณะเดียวกัน อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงอาจช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาฯ, ส่งเสริมการปล่อยกู้ และดึงดูดผู้บริโภคให้ ‘จับจ่ายใช้สอย’ มากขึ้น แต่นั่นก็ทำให้รัฐบาลกลางต้องแบกภาระหนี้เพิ่ม ซึ่งสะท้อนถึงการ ‘เลื่อนระเบิดเวลา’ ไปในอนาคตอีกครั้ง
คำถามคือ นักลงทุนกำลังซื้อก่อน (front-run) การลดดอกเบี้ยของเฟดไปแล้วหรือยัง? และนโยบายใหม่จะจุดประกายตลาดขาขึ้นในหุ้นและคริปโตอย่างในปี 2025 ได้อีกครั้งหรือไม่?
"ความคิดเห็น": ตลาดคริปโตในปี 2026 จะยังเปิดกว้างหากนักลงทุนปรับตัวได้อย่างคล่องตัว และหลีกเลี่ยงการยึดติดกับ ‘เรื่องเล่าหลัก’ มากเกินไป ขณะที่ความสามารถในการดูสัญญาณเชิงมหภาคอย่างความยั่งยืนของนโยบายเศรษฐกิจทรัมป์, อีโคซิสเต็มของ AI และการชะลอตัวของผู้บริโภค จะมีบทบาทสำคัญต่อทิศทางของตลาดในไตรมาสแรกและไตรมาสที่สองของปีนี้
โดยรวมแล้ว ปี 2026 มีแนวโน้ม ‘บูลลิช’ หากพิจารณาจากนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล, ท่าทีของเฟด และทิศทางกฎหมายที่เอื้อต่อคริปโต อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนจากภาคเทคโนโลยีและปฏิกิริยาของผู้บริโภคต่อดอกเบี้ยที่ลดลง ยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด
ความคิดเห็น 0