ราคาบิตคอยน์(BTC) เคยทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 126,000 ดอลลาร์เมื่อเดือนตุลาคม 2024 หรือราว 18.2 ล้านบาท แต่ปัจจุบันลดลงสู่ระดับ 88,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 12.7 ล้านบาท แม้ผิวเผินจะดูเหมือนเป็น ‘ตลาดกระทิง’ แต่ความเป็นจริงแล้ว หลายโครงการคริปโตกลับจมอยู่ในภาวะซบเซา ตลาดตกอยู่ในภาวะแยกขั้วขั้นรุนแรง
แพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูลอย่างโซโซแวลู(SoSoValue) ได้ทำการทดลองจำลองจากการลงทุน 10 ดอลลาร์ในแต่ละหมวดหมู่ของคริปโตช่วงปี 2024-2025 พบว่า ขณะที่บางหมวดหมู่สามารถเติบโตแตะระดับ 28 ดอลลาร์ (ราว 4.4 พันบาท) ได้ แต่กลับมีอีกหลายหมวดที่ลดลงเหลือแค่ 1.20 ดอลลาร์เท่านั้น (ประมาณ 1.7 ร้อยบาท) ซึ่งสะท้อนภาพความเหลื่อมล้ำของผลตอบแทนในตลาด ‘ตลาดกระทิงของทุกคน’ จึงไม่มีอยู่จริงในรอบนี้
โซโซแวลูระบุว่า จุดเปลี่ยนสำคัญอยู่ที่ ‘การอนุมัติ ETF บิตคอยน์แบบสปอต’ ของสำนักงาน ก.ล.ต.สหรัฐฯ(SEC) เมื่อเดือนมกราคม 2024 ซึ่งทำให้เงินทุนไหลเข้าสู่สินทรัพย์อย่างจำกัด โดยเน้นย้ำว่า การเกิดขึ้นของ ETF มีลักษณะเป็น ‘ลูปของการควบคุมเงินทุน’ ที่ทำให้สภาพคล่องไม่สามารถไหลไปยังสินทรัพย์อื่น ๆ ได้สะดวกอีกต่อไป
ข้อมูลตลาดยืนยันสถานการณ์ดังกล่าว โดย ETF บิตคอยน์ในสหรัฐฯ ดึงดูดเงินทุนได้สูงถึง 1.15 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 166 ล้านล้านวอน) ขณะที่ ETF ที่เกี่ยวข้องกับอีเธอเรียม(ETH) ได้รับเงินลงทุนเพียง 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์เท่านั้น ทรัพย์สินดิจิทัลอื่น ๆ จึงอยู่ในภาวะซบเซาเนื่องจากขาดการสนับสนุนจากนักลงทุนสถาบัน
ในอีกด้าน สินทรัพย์ที่เป็นมิตรกับ ETF เช่น โทเคนของไบแนนซ์อย่าง BNB สามารถปรับขึ้นได้กว่า 180% ขณะเดียวกัน ริปเปิล(XRP) ซึ่งผ่านช่วงความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบมาได้ ก็แสดงผลตอบแทนในแง่บวก
แต่สินทรัพย์อีกหลายประเภทกลับมีชะตาต่างกันอย่างชัดเจน เช่น เครือข่ายเลเยอร์ 2 ลดลงถึง 87%, เกมไฟ(GameFi) ร่วง 85%, ขณะที่โทเคน NFT ดิ่งลง 68% โมเดลการลงทุนที่พึ่งพา ‘การเล่าเรื่องสวยหรู’ และการระดมทุนจาก VC จึงถูกตัดสินว่าไม่เพียงพออีกต่อไป
โซโซแวลูวิเคราะห์ว่า โครงสร้างการเติบโตที่เคยพึ่งพาแผนธุรกิจในเอกสารและความคาดหวัง ถูกแทนที่ด้วยเกณฑ์ใหม่ที่ให้ความสำคัญกับ ‘รายได้จริง’ และความสามารถในการดำเนินธุรกิจ
แม้แต่หมวดที่เคยถูกมองว่าเป็น ‘ทางหนี’ อย่างมีมคอยน์ ก็ไม่สามารถรอดพ้นได้ ดัชนีของมีมคอยน์แทบไม่ขยับในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ก่อนจะดิ่งลงถึง 80% ภายในปี 2025 เพียงปีเดียว เนื่องจากแนวโน้มการเก็งกำไรตามความนิยมของคนดังหรือกระแสการเมืองเริ่มเสื่อมความน่าเชื่อถือ
สำหรับราคาบิตคอยน์ที่ทำสถิติสูงสุดก่อนลดลงอย่างรวดเร็ว โซโซแวลูมองว่าเกิดจากการเข้าซื้อของสถาบันผ่านทาง ETF นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสำคัญคือ การที่เม็ดเงินไม่สามารถไหลเวียนไปยังอัลท์คอยน์ ส่งผลให้ตลาดอยู่ในภาวะแคบลง เมื่อเทียบกับรอบก่อน หนึ่งจุดต่างสำคัญคือ ‘ขาดความคล่องตัวในการกระจายกำไร’
ผลลัพธ์จึงชัดเจนว่า ผู้ได้รับประโยชน์จากการปรับขึ้นของตลาดครั้งนี้อยู่ในวงจำกัด ตลาดเปลี่ยนจากการขับเคลื่อนด้วยความหวังสู่การคัดเลือกสินทรัพย์ตามคุณสมบัติที่เข้ากับกรอบทางกฎหมายและระบบสถาบัน ความเป็นจริงกำลังมีน้ำหนักมากกว่าภาพฝันในเอกสารลงทุน
ความคิดเห็น: ยุคของ ‘ทุกคนรวยในตลาดขาขึ้น’ ได้จบลงแล้ว ความสำคัญขณะนี้จึงอยู่ที่การเลือกลงทุนในโครงการที่มี ‘พื้นฐานรองรับ’ ไม่ใช่แค่เรื่องราวสดใสอีกต่อไป
ความคิดเห็น 0