รัฐบาลสหรัฐฯ เป็นเจ้าของบิตคอยน์(BTC) จำนวนประมาณ 198,109 เหรียญ คิดเป็นมูลค่ารวม 17,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2.58 ล้านล้านบาท) ซึ่งส่วนใหญ่ได้มาจากการยึดทรัพย์ในคดีอาชญากรรมและทรัพย์สินที่ถูกโอนให้รัฐบาล
ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อวันที่ 6 มีนาคม กำหนดให้บิตคอยน์ที่รัฐบาลถือครองเป็น ‘ทรัพย์สินสำรองเชิงกลยุทธ์’ ซึ่งอาจส่งผลสำคัญต่อนโยบายคริปโตของสหรัฐฯ ในอนาคต ตามคำสั่งนี้ หน่วยงานรัฐบาลต้องจัดทำบัญชีสรุปจำนวนบิตคอยน์ที่ยึดมาได้อย่างเป็นทางการ รวมถึงกำหนดแนวทางการบริหารสินทรัพย์ดังกล่าวในระดับประเทศ
หนึ่งในกรณีสำคัญที่ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ถือครองบิตคอยน์เป็นจำนวนมาก เกิดขึ้นจากการสืบสวน ‘ซิลค์โรด’ (Silk Road) ในเดือนพฤศจิกายน 2020 ซึ่งนำไปสู่การยึดบิตคอยน์ 69,370 เหรียญจากแฮกเกอร์รายหนึ่งที่รู้จักในชื่อ "Individual X" โดยเจ้าตัวได้ส่งคืนบิตคอยน์ให้รัฐบาลภายหลังถูกติดตามตัว นอกจากนี้ ในเดือนมกราคม 2022 รัฐบาลยังสามารถกู้คืนบิตคอยน์ 94,636 เหรียญจากการแฮก ‘บิทไฟเนกซ์’ (Bitfinex) และในเดือนมีนาคมปีเดียวกัน ยึดบิตคอยน์อีก 51,351 เหรียญจากแฮกเกอร์ ‘เจมส์ จง’ (James Zhong) ส่งผลให้รัฐบาลสหรัฐฯ กลายเป็นหนึ่งในผู้ถือครองบิตคอยน์รายใหญ่ที่สุดในโลก
ในปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้นำบิตคอยน์บางส่วนออกขายสู่ตลาด เช่น ในเดือนมีนาคม 2023 ได้ขายไป 9,861 เหรียญ คิดเป็นมูลค่า 215.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 31,460 ล้านบาท) อย่างไรก็ตาม ภายใต้นโยบายใหม่ของประธานาธิบดีทรัมป์ การขายบิตคอยน์เพิ่มเติมถูกระงับชั่วคราว
ทำเนียบขาวระบุว่า ในช่วงเริ่มต้นของนโยบายสำรองบิตคอยน์ รัฐบาลจะเน้นบริหารบิตคอยน์ที่ได้จากการยึดทรัพย์ก่อน แต่มีแผนให้กระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์พิจารณาซื้อเพิ่มในอนาคต ซึ่งแนวทางใหม่นี้อาจส่งผลกระทบต่อทิศทางของตลาดคริปโตในสหรัฐฯ รวมถึงแนวโน้มราคาบิตคอยน์ทั่วโลก
ความคิดเห็น 0