นักวิเคราะห์ชี้ ‘อีเธอเรียม(ETH)’ ต้องการปัจจัยหนุนเพื่อฟื้นตัวเหนือ $2,600
ราคาของอีเธอเรียม(ETH) ต้องการแรงผลักดันจากการอัปเกรดเครือข่าย การใช้งานที่เพิ่มขึ้น การลดอุปทาน และการพัฒนาโซลูชันเลเยอร์-2 ให้มีความเชื่อมโยงกันมากขึ้น เพื่อกลับไปยืนเหนือระดับ $2,600 ตามการวิเคราะห์ล่าสุด
ตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ETH ร่วงลงต่ำกว่า $2,600 และปราศจากแรงดีดตัวกลับที่ชัดเจน จนกระทั่งร่วงต่อไปแตะระดับ $2,000 ซึ่งนำไปสู่การชำระบัญชีสถานะซื้อ (long position) ในตลาดฟิวเจอร์สคิดเป็นมูลค่าราว 918 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 34,000 ล้านบาท ตามข้อมูลจาก CoinGlass
ในช่วงที่ ETH ปรับฐานลง คู่แข่งอย่างโซลานา(SOL) กลับได้รับแรงหนุนจากกระแส ‘มีมคอยน์’ และทำผลงานได้เหนือกว่า ส่งผลให้ราคาของ ETH อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับตลาดอัลท์คอยน์โดยรวมประมาณ 10% นักวิเคราะห์จึงชี้ว่า สิ่งที่จำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงเพื่อให้ ETH ฟื้นตัว ได้แก่ การอัปเกรดเครือข่าย การใช้ประโยชน์บนเชนที่เพิ่มขึ้น การลดอุปทานของโทเค็น และการปรับปรุงการเชื่อมต่อกับโซลูชันเลเยอร์-2
การอัปเกรดเครือข่าย ‘Pectra’ ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการ คาดว่าจะช่วยลดค่าธรรมเนียมและปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้ได้ แต่การคาดหวังว่าจะส่งผลให้ ETH พุ่งขึ้นทันทีอาจเป็นเรื่องยาก นอกจากนี้ ปัญหาบล็อกว่างที่เกิดขึ้นบนเครือข่ายทดสอบ (testnet) ยังสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนเกี่ยวกับความสำเร็จของการอัปเกรดครั้งนี้
อีกปัจจัยหนึ่งที่เป็นอุปสรรคของ ETH คือการขยายตัวของแพลตฟอร์มคู่แข่งในระบบนิเวศการเงินไร้ตัวกลาง (DeFi) เช่น เบราเชน(Berachain) ซึ่งเป็นโปรเจกต์เลเยอร์-1 ที่กำลังมาแรง โดยมีมูลค่าทรัพย์สินที่ถูกล็อก (TVL) มากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 138,000 ล้านบาท รวมถึงแพลตฟอร์มฟิวเจอร์สถาวรอย่างไฮเปอร์ลิควิด(Hyperliquid) ที่มีมูลค่า Open Interest ถึง 2.8 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 109,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ กิจกรรมบนเชนของ ETH ที่ชะลอตัวลงและการลดลงของความต้องการจากนักลงทุนสถาบันก็เป็นปัจจัยน่ากังวล โดยในช่วง 10 วันทำการล่าสุด มีเงินทุนไหลออกจาก ETH Spot ETF ต่อเนื่องถึง 9 วัน คิดเป็นมูลค่ารวม 406 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 15,900 ล้านบาท นำไปสู่การลดลงของความสนใจจากสถาบันและความกดดันด้านอัตราเงินเฟ้อจากอุปทานที่เพิ่มขึ้น 0.7% ต่อปี
สุดท้าย หากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา(SEC) อนุมัติ Spot ETF สำหรับโซลานาในปี 2025 อาจทำให้เงินทุนจากสถาบันที่ลงทุนใน BTC และ ETH กระจายออกไปยัง SOL ซึ่งเป็นอีกตัวแปรสำคัญที่ ETH ต้องเผชิญ
สรุปแล้ว หากอีเธอเรียมต้องการกลับมายืนเหนือระดับ $2,500 และรักษาแนวโน้มขาขึ้น จำเป็นต้องอาศัยการพัฒนาเครือข่าย การลดอุปทาน และการฟื้นตัวของความสนใจจากนักลงทุนสถาบันเป็นปัจจัยผลักดันสำคัญ
ความคิดเห็น 0