สเตเบิลคอยน์กำลังเข้ามาแก้ปัญหาความไม่มีประสิทธิภาพของระบบชำระเงินข้ามพรมแดนแบบดั้งเดิม พร้อมทั้งขยายโอกาสทางการเงินไปสู่กลุ่มที่เข้าไม่ถึงระบบธนาคาร
ระบบการเงินระหว่างประเทศในปัจจุบันถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ยุคก่อนอินเทอร์เน็ต ซึ่งไม่สามารถรองรับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีบล็อกเชนและความต้องการของตลาดได้อย่างเต็มที่ หนึ่งในตัวอย่างสำคัญคือเครือข่ายการชำระเงิน SWIFT ที่เป็นเพียง ‘ระบบส่งข้อความ’ โดยไม่มีฟังก์ชันการโอนเงินโดยตรง ผู้ใช้ต้องผ่านตัวกลางหลายราย ส่งผลให้ค่าธรรมเนียมสูงและใช้เวลาหลายวันกว่าธุรกรรมจะเสร็จสมบูรณ์ ในกรณีของภาคธุรกิจ ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อธุรกรรมอยู่ที่ประมาณ 1.5% และในกรณีของการโอนเงินระหว่างประเทศ ค่าธรรมเนียมอาจสูงเกิน 6% ยิ่งไปกว่านั้น เวลาการดำเนินการที่ล่าช้าได้เพิ่มต้นทุนการทำธุรกรรมในตลาดเกิดใหม่ ซึ่งมักมีโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่ไม่สมบูรณ์
เพื่อแก้ปัญหานี้ ‘สเตเบิลคอยน์’ จึงกลายเป็นทางเลือกที่ได้รับความสนใจ ด้วยการผูกมูลค่ากับสกุลเงินทั่วไปเพื่อรักษาเสถียรภาพ และใช้บล็อกเชนเพื่อดำเนินธุรกรรมแบบไร้ตัวกลาง ทำให้สามารถชำระเงินได้รวดเร็วและเสียค่าธรรมเนียมต่ำ ตัวอย่างเช่น บริษัทในสหรัฐฯ สามารถซื้อเทเธอร์(USDT) และโอนให้ฟรีแลนซ์ในต่างประเทศผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล หลังจากได้รับเงิน ผู้รับสามารถแลกเป็นสกุลเงินท้องถิ่นได้อย่างง่ายดาย
แนวทางนี้ได้รับความนิยมในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐานการเงินที่มั่นคง นอกจากนี้ สเตเบิลคอยน์ยังกลายเป็นเครื่องมือปกป้องมูลค่าทรัพย์สินในภูมิภาคที่มีภาวะเงินเฟ้อสูง UBS รายงานว่าผู้บริโภคในตลาดเกิดใหม่ให้ความสนใจในการถือครองดอลลาร์ดิจิทัลโดยไม่ต้องพึ่งพาระบบธนาคารของรัฐ
การเติบโตของสเตเบิลคอยน์ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การโอนเงิน แต่ยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กและฟรีแลนซ์ทั่วโลกสามารถทำธุรกรรมได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงจากตัวกลางทางการเงิน โครงสร้างนี้ถูกมองว่าเป็นแรงผลักดันให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงตลาดระดับโลกได้ง่ายขึ้น
ปัจจุบัน สเตเบิลคอยน์กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยมีมูลค่าตลาดทะลุ 233,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 8.46 ล้านล้านบาท) ในปี 2024 ยอดการทำธุรกรรมอยู่ที่ 15.6 ล้านล้านดอลลาร์ (ประมาณ 567 ล้านล้านบาท) ซึ่งสูงกว่าปริมาณธุรกรรมของเครือข่ายการ์ดชำระเงินอย่างวีซา(Visa) แนวโน้มนี้ชี้ให้เห็นว่าสเตเบิลคอยน์กำลังกลายเป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีศักยภาพในการเพิ่มโอกาสทางการเงินและเพิ่มประสิทธิภาพของธุรกรรมข้ามพรมแดน
ความคิดเห็น 0