STAS โทเคนสามารถใช้งานบนบล็อกเชนบีเอสวี(BSV) ได้อย่างกว้างขวางขึ้นภายใต้ ‘MIT ไลเซนส์’ ซึ่งเปิดโอกาสให้ ‘นักพัฒนา’ สามารถสร้างโทเคนบนสัญญาอัจฉริยะแบบ ‘ไร้การอนุญาต’ (permissionless smart contract) โดยไม่มีข้อจำกัด และผู้ใช้สามารถออกโทเคนได้โดยไม่ต้องเสียค่าไลเซนส์เพิ่มเติม
STAS โทเคนทำงานในลักษณะเดียวกับ ‘1Sat Ordinals’ โดยใช้ ‘บิตคอยน์สคริปต์’ เพื่อนำข้อมูลเมตาของโทเคนไปใช้กับซาโตชิ(Satoshi) ของบีเอสวีโดยตรง การออกแบบนี้ทำให้ข้อมูลทั้งหมดถูกฝังลงใน ‘UTXO’ (Unspent Transaction Output) โดยตรง ซึ่งช่วยให้สามารถป้องกันการสูญหายของข้อมูลแม้ว่าโทเคนจะถูกส่งไปยังกระเป๋าเงินที่ไม่รองรับสคริปต์ นอกจากนี้โครงสร้างดังกล่าวยังช่วยรักษาความน่าเชื่อถือของโทเคนแม้ว่า ‘ผู้พัฒนาโครงการ’ จะหยุดให้การสนับสนุน
STAS โปรโตคอลได้รับการพัฒนาโดย TAAL ในปี 2021 และปัจจุบันโครงการต่างๆ ในระบบนิเวศบีเอสวี เช่น Centi, Relysia, Gate2Chain, GAP600 และ Codugh กำลังใช้งานโซลูชันนี้ โทเคน STAS สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย ตั้งแต่ ‘NFT’ ไปจนถึง ‘สเตเบิลคอยน์’ หรือแม้แต่ ‘สกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง’ (CBDC) เช่น Centi ที่ได้ออก ‘CCHF’ ซึ่งเป็น ‘สเตเบิลคอยน์’ ที่อ้างอิงกับเงินฟรังก์สวิสโดยใช้มาตรฐาน STAS-20
MIT ไลเซนส์มีข้อกำหนดที่ผ่อนคลายกว่าไลเซนส์ GPL โดยกำหนดให้มีเพียงการแจ้งเครดิตเจ้าของลิขสิทธิ์และแนบสำเนาไลเซนส์เท่านั้น เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้งาน ปรับแต่ง และแจกจ่ายซอฟต์แวร์ได้อย่างอิสระ ซึ่งนับเป็นการส่งเสริมให้โครงการที่ใช้ STAS สามารถขยายตัวได้ง่ายขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากบล็อกเชนบีเอสวีเปิดตัวภายใต้ ‘MIT ไลเซนส์’ ตั้งแต่ต้น การนำแนวทางนี้มาใช้ในอุตสาหกรรมจะยิ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
แม้ว่าจะมีข้อกังวลว่าโครงสร้างของ STAS อาจนำไปสู่ภาระด้านการเก็บข้อมูล UTXO ในระยะยาว แต่ในอีกมุมหนึ่ง โทเคนนี้ยังเสนอ ‘ข้อได้เปรียบสำคัญ’ นั่นคือสามารถตรวจสอบความถูกต้องได้โดยไม่ต้องใช้ ‘เซิร์ฟเวอร์อินเด็กซ์’ หรือโซลูชัน ‘เลเยอร์ 2’ ด้วยศักยภาพในการเพิ่มความเปิดกว้างให้กับระบบนิเวศของบล็อกเชน STAS ที่ได้รับสิทธิ์ใช้งาน MIT จึงมีโอกาสในการขยายขอบเขตการใช้งานในหลายโครงการในอนาคต
ความคิดเห็น 0