ตลาดกำลังจับตาดูว่า ‘อีเธอเรียม(ETH)’ จะสามารถกลับขึ้นไปแตะระดับ 2,500 ดอลลาร์ได้หรือไม่ โดยมีปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อแนวโน้มนี้อยู่สามประการ ได้แก่ ‘การอัปเกรด Pectra’ การเพิ่มขึ้นของ ‘มูลค่ารวมที่ถูกล็อก (TVL)’ และ ‘อุปทาน ETH ในกระดานเทรดที่ลดลง’
เมื่อวันที่ 24 มีนาคม อีเธอเรียมสามารถกลับมายืนเหนือระดับแนวรับที่ 2,000 ดอลลาร์ได้อีกครั้ง แต่ยังคงต่ำกว่าระดับ 2,500 ดอลลาร์ที่เคยบันทึกไว้เมื่อสามสัปดาห์ก่อนถึง 18% ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ETH มีผลตอบแทนต่ำกว่าอัลท์คอยน์ตัวอื่นประมาณ 14% ทำให้เกิดการถกเถียงว่าตลาดกระทิงจะกลับมาอีกครั้งหรือไม่
ปัจจัยแรกคือ ‘การอัปเกรด Pectra’ ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการขยายตัวของเครือข่ายอีเธอเรียม การอัปเกรดนี้คาดว่าจะเกิดขึ้นระหว่างเดือนเมษายนถึงมิถุนายน โดยหนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือการเพิ่มขนาดข้อมูลต่อบล็อกเป็นสองเท่า ทำให้ค่าธรรมเนียมสำหรับ Rollups และการทำธุรกรรมที่เน้นความเป็นส่วนตัวลดลง นอกจากนี้ ยังมีการสนับสนุนบัญชีอัจฉริยะ ซึ่งช่วยให้สามารถจ่ายค่าธรรมเนียมก๊าซโดยบุคคลที่สาม การยืนยันตัวตนด้วยรหัสผ่านแบบ Passkey และฟังก์ชันการทำธุรกรรมแบบกลุ่ม ซึ่งจะช่วยยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้และกระตุ้นกิจกรรมบนเครือข่าย
ปัจจัยที่สองคือ ‘มูลค่ารวมที่ถูกล็อก (TVL)’ ที่เพิ่มขึ้น ขณะนี้ TVL ของอีเธอเรียมอยู่ที่ 52.5 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.93 ล้านล้านบาท) สูงกว่าของโซลานา(SOL) ซึ่งมีเพียง 7 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.57 แสนล้านบาท) ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา ปริมาณ ETH ที่ถูกล็อกบนเครือข่ายอีเธอเรียมเพิ่มขึ้นมากกว่า 10% ทะลุระดับ 10 ล้าน ETH ในทางกลับกัน TVL ของโซลานาลดลง 8% ในช่วงเวลาเดียวกัน สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าอีเธอเรียมยังคงมีการเติบโตในระบบนิเวศอย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยที่สามคือ ‘ปริมาณ ETH ที่อยู่ในกระดานเทรดลดลง’ ข้อมูล ณ วันที่ 25 มีนาคม ระบุว่ามี ETH ในกระดานเทรด 16.9 ล้านเหรียญ ซึ่งเพิ่มขึ้นเพียง 3.5% จากระดับต่ำสุดรอบ 5 ปีที่ 16.32 ล้านเหรียญ นี่เป็นสัญญาณว่าผู้ถือครอง ETH มีแนวโน้มถือทรัพย์สินในระยะยาวมากขึ้น ส่งผลให้แรงกดดันในการขายลดลง ขณะเดียวกัน ETF อีเธอเรียมแบบสปอตที่ได้รับอนุมัติในสหรัฐฯ มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารอยู่ที่ 8.9 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3.27 แสนล้านบาท) แต่ตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคมเป็นต้นมา มีการไหลออกสุทธิถึง 316 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.16 หมื่นล้านบาท) ซึ่งชี้ให้เห็นว่าผู้ลงทุนยังต้องจับตาดูการเคลื่อนไหวของสภาพคล่อง
นอกจากนี้ ‘BLACKROCK’ ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการลงทุน ได้ส่งเสริมกองทุน ‘BUILD’ ให้มีมูลค่ารวมสูงถึง 1.5 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 5.5 หมื่นล้านบาท) ซึ่งสนับสนุนตลาด ‘โทเค็นสินทรัพย์ในโลกจริง (RWA)’ และทำให้อิทธิพลของอีเธอเรียมในภาคส่วนนี้แข็งแกร่งขึ้น นักวิเคราะห์เชื่อว่าการผสานเข้าด้วยกันระหว่างอีเธอเรียมและระบบเศรษฐกิจโลกจริงจะเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญของเครือข่ายในอนาคต
การที่อีเธอเรียมร่วงลงต่ำกว่า 1,900 ดอลลาร์ในวันที่ 10 มีนาคม ส่วนใหญ่มาจากภาวะตลาดขาลงที่รุนแรงเกินไป อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ประสิทธิภาพของเครือข่ายยังคงแข็งแกร่ง และนักลงทุนยังมีแนวโน้มถือครองระยะยาว โอกาสที่ ETH จะฟื้นตัวและกลับไปแตะระดับ 2,500 ดอลลาร์ยังคงอยู่บนโต๊ะ
ความคิดเห็น 0