ตลาดคริปโตเผชิญแรงสั่นสะเทือนเมื่อบิตคอยน์(BTC) ร่วงหนัก ดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก การร่วงลงในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากสหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บ 'ภาษีนำเข้าสินค้าจีน' สูงสุดรวมกว่า 104% ท่ามกลางความวิตกกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ส่งผลให้ความเสี่ยงแผ่ขยายครอบคลุมถึงสินทรัพย์ทุกประเภท สถานการณ์ในขณะนี้ทำให้คริปโตเคอร์เรนซีรวมถึงบิตคอยน์กลายเป็นกลุ่มลงทุนที่ถูกละเลย ภายใต้ความผันผวนที่รุนแรงของตลาดหุ้น
ในตลาดซื้อขายคริปโตแบบสปอต มีสัญญาณของการโอนบิตคอยน์จำนวนมากเข้าสู่ตลาด ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มของการขายทำกำไรและความต้องการแปลงสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเงินสดในระยะสั้น ด้านตลาดอนุพันธ์ แม้ปริมาณการซื้อขายยังคงคึกคัก แต่ความไม่สมดุลระหว่างฝั่ง 'ลอง' และ 'ชอร์ต' เริ่มสร้างความกังวลให้นักวิเคราะห์บางส่วน
แม้ราคาบิตคอยน์ในตลาดซื้อขายทันทีและอนุพันธ์จะยังไม่มีการเบี่ยงเบนกันอย่างมีนัยสำคัญ แต่ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่า ‘โอกาสในการดีดตัวกลับ’ จากการถูกชอร์ตอาจมีจำกัด เนื่องจากราคาฟิวเจอร์สยังไม่แสดงสัญญาณการนำราคาสปอตขึ้นไป ซึ่งมักเป็นสัญญาณของแรงซื้อที่แข็งแกร่ง แล้วจึงอาจตีความได้ว่า การฟื้นตัวในระยะสั้นอาจไม่ยั่งยืน
แรงกดดันในครั้งนี้ยังถูกโยงไปถึง ‘นโยบายการค้า’ ของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งมีลักษณะปกป้องตลาดภายในประเทศผ่านการตั้งกำแพงภาษีสูง ส่งผลทั้งต่อเศรษฐกิจส่งออกของจีน และต้นทุนการผลิตภาคอุตสาหกรรมในสหรัฐฯ ที่อาจสูงขึ้นในระยะยาว ความเสี่ยงเหล่านี้จุดกระแสความกลัวภาวะเงินฝืดทั่วโลก ทำให้นักลงทุนกลับมานิยมลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยอีกครั้ง ขณะที่บิตคอยน์ถูกมองเป็น ‘สินทรัพย์เสี่ยง’ จึงไม่อาจรอดพ้นจากแรงเทขาย
แต่อย่างไรก็ดี มีความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญบางรายชี้ว่า ความผันผวนครั้งนี้อาจเป็น ‘จุดเปลี่ยน’ ที่ทำให้บิตคอยน์ถูกมองใหม่ในฐานะ ‘เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงแบบดิจิทัล’ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ความไม่แน่นอนทางการเงินและการเมืองทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ซึ่งอาจผลักดันให้บิตคอยน์กลายเป็นทางเลือกคู่ขนานกับทองคำ
ในช่วงถัดไป ตัวแปรสำคัญที่อาจกำหนดทิศทางของตลาด ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค, รายงานการประชุมของคณะกรรมการ FOMC รวมถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ขณะเดียวกัน แนวโน้ม ‘การเพิ่มภาษี’ โดยรัฐบาลทรัมป์ และยุทธศาสตร์ตอบโต้ของจีน จะกลายเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลโดยตรงต่อความผันผวนในตลาดคริปโต ทั้งในระยะกลางและระยะยาว
ความคิดเห็น 0