อินเทอร์เน็ตในยุคเริ่มต้นถูกออกแบบมาเพื่อส่งเสริม ‘การไม่เปิดเผยตัวตน’ ของผู้ใช้ แต่ในปัจจุบัน ความไม่เปิดเผยตัวตนนั้นไม่ได้มีบทบาทเพียงแค่ปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลอีกต่อไป หากกลับกลายเป็นปัจจัยที่ทำให้ยากต่อการแยกแยะระหว่างมนุษย์จริงกับ ‘บอต’ ส่งผลให้การตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับทฤษฎี ‘อินเทอร์เน็ตที่ตายแล้ว’ เริ่มเป็นรูปธรรมมากขึ้น เมื่อปี 2024 อัตราของทราฟฟิกจากบอตแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อ้างอิงจากรายงานล่าสุด
แวดวงคริปโตเองก็เริ่มตระหนักถึงความเสี่ยงนี้เช่นกัน โดยเฉพาะ จางเผิง เจา(Changpeng Zhao) ผู้ร่วมก่อตั้งไบแนนซ์(Binance) ได้เรียกร้องให้ *อีลอน มัสก์* จัดการกับปัญหาบอตบน X (ชื่อเดิมคือทวิตเตอร์) ขณะที่ชุมชนในโลก Web3 ก็เริ่มแสดงความกังวลในทิศทางเดียวกัน บอตไม่ได้แค่โพสต์ข้อความแบบสแปม แต่ยังมีบทบาทในการหลอกลวง ปั่นราคา และสร้างบรรยากาศเทียมในโลกออนไลน์ ซึ่งทำให้ความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์มลดลงเรื่อย ๆ สวนทางกับบทบาทของโลกดิจิทัลที่ควรเสมือนจริงมากขึ้น
มาตรการรับมือโดยแพลตฟอร์ม เช่น การใช้ AI กรองบัญชี หรือกำหนดให้ต้องยืนยันตัวตนผ่านระบบชำระเงิน ยังไม่สามารถหยุดยั้งการไหลทะลักของบอตได้อย่างแท้จริง ผู้ใช้บางรายกลับโดนระงับบัญชีหรือถูกลบเนื้อหาโดยไม่มีคำอธิบาย ขณะเดียวกัน หลายแพลตฟอร์มยังบังคับให้ผู้ใช้ต้องเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวเพื่อพิสูจน์สถานะความเป็น ‘มนุษย์’ สิ่งนี้ไม่เพียงละเมิด *ความเป็นส่วนตัว* แต่ยังสร้างกำแพงความเหลื่อมล้ำในการเข้าร่วมโลกออนไลน์
ประเด็นสำคัญคือ ทราฟฟิกจากบอตมีผลกระทบต่อ *เศรษฐกิจดิจิทัล* อย่างรุนแรง บริษัทโฆษณาต้องสูญเสียงบประมาณจำนวนมากจากคลิกปลอม ยอดวิวปลอม รวมถึงการโจมตีทางการตลาดจากบอตโดยตรงเพื่อแย่งชิงความได้เปรียบ ทั้งหมดนี้ทำให้ภาพรวมของออนไลน์กลายเป็นพื้นที่ที่ *นักสร้างสรรค์ของจริงไม่ได้รับการมองเห็น* มากเท่าที่ควร
ถึงวันนี้ การพึ่งพาการควบคุมจากองค์กรกลาง เช่น บริษัทโซเชียลมีเดีย ยังคงเป็นแนวทางหลักในการต่อสู้กับบอต อย่างไรก็ตาม โครงสร้างแบบรวมศูนย์เหล่านี้กลับไม่สามารถตามเกมที่บอตใช้ AI ล้ำหน้าได้ทัน แถมยังเสี่ยงต่อการปิดกันผู้ใช้จริง ในขณะที่บอตฉลาดกลับรอดพ้นจากมาตรการตรวจจับ เป็นระบบที่ย้อนแย้งโดยสิ้นเชิง
การตั้งค่าระบบยืนยันตัวตนแบบเสียเงิน อาทิ ระบบของ X แม้จะช่วยกรองผู้ใช้บางประเภทได้ แต่ก็สร้าง *ปัญหาใหม่เรื่องความเหลื่อมล้ำ* ผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่มีกำลังทรัพย์จะถูกตัดสิทธิ์การแสดงตัวตน ในขณะที่ผู้มีทุนที่ควบคุมบอตอยู่มักไม่สะทกสะเทือนกับข้อจำกัดทางการเงินเช่นนี้ ส่งผลให้ผลลัพธ์กลับไม่ได้ตามที่ตั้งใจไว้
ทางเลือกที่เริ่มได้รับความสนใจคือการใช้ *เทคโนโลยี Web3* โดยเฉพาะระบบ *ไอเดนทิตีแบบกระจายศูนย์(DID)* และ *ระบบการให้คะแนนความน่าเชื่อถือแบบกระจาย* DID บนบล็อกเชนจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถยืนยันตัวตนได้โดยไม่ต้องพึ่งพาบุคคลที่สาม พร้อมทั้งรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูลได้ในเวลาเดียวกัน ถือเป็นแนวทางที่ผสานระหว่าง ‘การป้องกัน’ และ ‘ความโปร่งใส’ ได้อย่างลงตัว
นอกจากนี้ ระบบให้คะแนนแบบกระจายจะช่วยพิจารณาความน่าเชื่อถือของผู้ใช้ผ่านรูปแบบที่ตรวจสอบได้ ส่งผลให้ผู้มีประวัติดีมีน้ำหนักมากขึ้น และจำกัดอิทธิพลของบัญชีต้องสงสัย แนวทางนี้ยังมี *ข้อได้เปรียบเชิงโครงสร้าง* เพราะไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง จึงลดความเสี่ยงจากผลประโยชน์ทับซ้อนได้มาก
ปัญหาบอตในโซเชียลมีเดียจึงไม่ใช่แค่เรื่องทางเทคนิค แต่เป็น *ภัยคุกคามต่อความน่าเชื่อถือและจุดประสงค์ของแพลตฟอร์ม* การใช้โครงสร้างรวมศูนย์ที่เน้นแต่การตรวจสอบและควบคุม อาจยิ่งเสริมสร้างปัญหาโดยไม่ตั้งใจ ดังนั้น *การปรับทิศไปสู่โมเดลแบบกระจายศูนย์* ที่ให้ผู้ใช้อยู่ในสถานะเจ้าของข้อมูลและความน่าเชื่อถือของตนเอง จึงกลายเป็นแนวทางที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
หากแพลตฟอร์มยังต้องการเป็นพื้นที่สื่อสารของ ‘มนุษย์จริง’ ที่มีปฏิสัมพันธ์อย่างแท้จริง การตัดสินใจครั้งสำคัญเพื่อนำระบบแบบ *Web3* มาใช้ควรเกิดขึ้นก่อนที่บอตจะทำให้โลกออนไลน์หมดความหมายไปอย่างถาวร ความเชื่อมโยงแบบใหม่ระหว่างมนุษย์และเทคโนโลยีจึงต้อง *พลิกกลับมาให้ผู้คนควบคุมเกม* แทนที่จะตกเป็นเหยื่อของอัลกอริธึมและระบบเทียม
ความคิดเห็น 0