ในช่วงที่ความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างประเทศทวีความรุนแรงขึ้น และท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เขย่าตลาดการเงินทั่วโลก บิตคอยน์(BTC) ยังคงแสดงศักยภาพในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ด้วยการพุ่งทะยานอย่างเงียบๆ ทะลุระดับ 89,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 6 สัปดาห์ แม้ตลาดหุ้นจะอยู่ในช่วงขาลงก็ตาม
ความเคลื่อนไหวของบิตคอยน์ในครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศความตึงเครียดจากนโยบายกีดกันทางการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ รวมถึงการประกาศรายชื่อประเทศที่ถูกกล่าวหาว่า ‘ละเมิดทางการค้าโดยไม่ใช่ภาษี’ และการเพิ่มแรงกดดันต่อประธานธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) สิ่งเหล่านี้ยิ่งเพิ่มความวิตกต่อภาวะเงินเฟ้อ และกระตุ้นให้นักลงทุนแสวงหา ‘แหล่งพักเงิน’ ที่ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ
ไคล์ ชาเซ(Kyle Chassé) นักลงทุนคริปโตชื่อดัง เปิดเผยผ่าน X ว่า แนวโน้มขาขึ้นของบิตคอยน์มีฐานมาจากผลกระทบเป็นลูกโซ่ของภาษีนำเข้า ซึ่งทำให้ต้นทุนสินค้าเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาผู้บริโภคพุ่งสูงขึ้น และบั่นทอนความเชื่อมั่นในค่าเงินของแต่ละประเทศ
“‘ภาษี’ เป็นรูปแบบหนึ่งของเงินเฟ้อที่ถูกพรางไว้ ยิ่งภาษีเพิ่มขึ้น ความเชื่อมั่นในค่าเงินดอลลาร์ก็ยิ่งลดลงเมื่อนั้น นักลงทุนจะมองหาทางเลือกอื่นที่เป็นกลางและไม่ยึดโยงกับรัฐ — ซึ่งบิตคอยน์คือคำตอบนั้น” ชาเซกล่าว
นอกจากนี้ สภาวะภูมิรัฐศาสตร์ที่ตึงเครียดยังส่งผลให้บิตคอยน์ดูยิ่งน่าสนใจยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อจีนเตือนจะตอบโต้ประเทศที่ยอมทำตามข้อเรียกร้องทางการค้าของสหรัฐ ขณะที่ญี่ปุ่นก็ไม่ยอมอ่อนข้อในโต๊ะเจรจา ทำให้บิตคอยน์ในฐานะสินทรัพย์ ‘ไร้พรมแดนและไม่ขึ้นกับอธิปไตยแห่งรัฐ’ กลับกลายเป็นตัวเลือกที่โดดเด่น
ชาเซเสริมว่า บิตคอยน์มีแนวโน้ม ‘ฟื้นตัวเร็ว’ เมื่อเกิดความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ “เงินที่ฉลาดจะหาทางเคลื่อนไหวในช่วงเวลาที่วุ่นวาย และตอนนี้ บิตคอยน์คือผู้รับประโยชน์หลัก” ความคิดเห็นที่อาจสะท้อนความเชื่อมั่นของตลาดกลุ่มหนึ่งในปัจจุบัน
ข้อมูลราคาล่าสุดยังยืนยันแนวโน้มดังกล่าว โดยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ราคาบิตคอยน์ทะยานสู่ระดับ 89,200 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 18% จากระดับต่ำสุดที่ 75,000 ดอลลาร์เมื่อต้นเดือน และขยับขึ้นอีก 2% ภายใน 24 ชั่วโมง ส่งผลให้มูลค่าตลาดรวมทะลุ 1.75 ล้านล้านดอลลาร์ และมีส่วนแบ่งตลาด 61.4% ตามข้อมูลจาก CoinGecko
ราคาทองคำก็เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน โดยแตะระดับสูงสุดใหม่ที่ราว 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่ง ‘คำ’ ยืนยันกระแสการเคลื่อนย้ายเงินทุนเข้าสู่สินทรัพย์ที่ถูกมองว่าปลอดภัย
ในรายงานของ กาวตัม ชูคานี(Gautam Chhugani) จากเบอร์นสไตน์ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายนที่ผ่านมา ดัชนี S&P 500 สูญเสียมูลค่ากว่า 2.5 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่ดัชนีแนสแดกลดลงถึง 16% เมื่อเทียบกับต้นปี ในขณะที่บิตคอยน์ลดลงเพียง 10% ในช่วงเวลาเดียวกัน ชูคานีมองว่าบิตคอยน์ได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นตัวแทนของ ‘ทางเลือกจากโลกการเงินแบบดั้งเดิม’ หรือที่เขาเรียกว่า “แบ็กอัพของเมนสตรีม” ได้อย่างแท้จริง.
ความคิดเห็น 0