เหตุการณ์ข้อมูลผู้ใช้งานรั่วไหลจากบริษัทคริปโตชั้นนำอย่างคอยน์เบส(Coinbase) ได้จุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ครั้งใหม่เกี่ยวกับข้อบังคับ ‘การยืนยันตัวตนลูกค้า (KYC)’ พร้อมเสียงเรียกร้องให้ทบทวนความจำเป็นของระบบดังกล่าวในกลุ่มผู้ใช้งานคริปโตทั่วโลก
เมื่อเดือนธันวาคม 2024 คอยน์เบสเปิดเผยว่า พนักงานฝ่ายสนับสนุนลูกค้าระหว่างประเทศคนหนึ่งของบริษัท ถูกกลุ่มแฮกเกอร์ภายนอกโน้มน้าวให้เปิดเผยข้อมูลสำคัญ ซึ่งนำไปสู่การรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้จำนวนกว่า 70,000 ราย โดยในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา บริษัทได้ยืนยันผ่านบล็อกทางการว่า แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงเนื้อหาของบัตรประจำตัวที่ทางราชการออกให้, ที่อยู่ของผู้ใช้ และข้อมูลที่มีความอ่อนไหวอื่น ๆ ได้สำเร็จ
เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดคำถามว่า ระบบ KYC ซึ่งควรมีไว้เพื่อป้องกันอาชญากรรมและคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ กลับกลายเป็น ‘เป้าหมาย’ ของอาชญากรไซเบอร์เสียเอง โดย *KYC* ถูกวิจารณ์ว่าเป็นเพียงภาพลวงตาด้านความปลอดภัยที่ไม่ได้ให้ผลลัพธ์จริง
‘บานเทก’(Banteg) นักพัฒนานิรนามจากโครงการบนเครือข่ายอีเธอเรียม(ETH) ทวีตผ่านบัญชี X (เดิมชื่อทวิตเตอร์) ว่า “ละครความปลอดภัยทั้งหมดควรยกเลิกได้แล้ว” พร้อมระบุว่า “KYC กลับเอื้อให้เกิดอาชญากรรมมากกว่าจะป้องกันมันได้” *ความเห็น* นี้ได้รับความสนใจอย่างมากจากวงการคริปโตที่มุ่งเน้นการกระจายอำนาจและการไม่เปิดเผยตัวตน
อย่างไรก็ตาม การยกเลิก KYC อย่างสิ้นเชิงยังเป็นเรื่องยากในทางปฏิบัติ เนื่องจากหลายประเทศยังคงบังคับใช้กฎหมายที่กำหนดให้แพลตฟอร์มการซื้อขายคริปโตต้องดำเนินการตามมาตรฐานด้านการยืนยันตัวตนของลูกค้า ปัจจุบันจึงมีความพยายามในการใช้เทคโนโลยีทางเลือก เช่น การพิสูจน์ด้วยศูนย์ความรู้ (Zero-Knowledge Proof: ZK Proof) เพื่อเสริมความเป็นส่วนตัว แต่ต้องแลกมาด้วยต้นทุนสูงและขั้นตอนที่ซับซ้อน ทำให้ยังไม่สามารถใช้งานได้อย่างแพร่หลายนัก
คดีข้อมูลรั่วของคอยน์เบสครั้งนี้ สะท้อนถึงความท้าทายที่วงการคริปโตต้องเผชิญในการรักษาสมดุลระหว่าง ‘การปกป้องความเป็นส่วนตัว’ กับ ‘การปฏิบัติตามกฎระเบียบ’ โดยเฉพาะในช่วงที่ประธานาธิบดีทรัมป์เริ่มมีแนวโน้มกลับมาลงสมัครอีกครั้ง และมีนโยบายเอื้อต่อการลดการแทรกแซงของรัฐ ทำให้เกิดคำถามต่อทิศทางในอนาคตของมาตรการบังคับใช้ KYC บนเวทีโลกอีกครั้ง
ความคิดเห็น 0