Back to top
  • 공유 แชร์
  • 인쇄 พิมพ์
  • 글자크기 ขนาดตัวอักษร
ลิงก์ถูกคัดลอกแล้ว

DeFi ควรคืนสู่รากเหง้า P2P หลังเกิดเหตุแฮ็ก Hyperliquid สูญเงินกว่า 5900 ล้านบาท

แนวคิดเริ่มต้นของการเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi) มีความชัดเจนอย่างมาก ระบบนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ใครก็ตามบนโลกสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างเสรี โดยไม่ต้องผ่านสถาบันกลางหรือต้องขออนุญาต ตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์ม P2P สำหรับการให้กู้ยืมเงิน ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้เจรจาข้อตกลงระหว่างกันโดยตรง ซึ่งแตกต่างจากโลกการเงินดั้งเดิม (TradFi) ที่ถูกควบคุมและมีโครงสร้างปิดอย่างชัดเจน

แต่เมื่อเวลาผ่านไป หลายโครงการ DeFi เริ่มห่างเหินจากแนวคิดในช่วงเริ่มต้น พวกเขาหันไปพึ่งพา ‘พูลสภาพคล่อง’, ข้อมูลจาก ‘ออราเคิล’ ภายนอก หรือระบบการจับคู่อัตโนมัติ (Automated Market Maker – AMM) แทนการติดต่อกันโดยตรงระหว่างผู้ใช้งาน ระบบอัตโนมัติเหล่านี้อาจเพิ่มประสิทธิภาพด้านสภาพคล่อง แต่ในอีกด้านหนึ่ง กลับทำให้ผู้ใช้งานสูญเสียการควบคุม ลดความโปร่งใส และจัดอยู่ในโครงสร้างที่ไม่สามารถเลือกประเภทสินทรัพย์หรือความเสี่ยงได้ตามต้องการ นอกจากนี้ยังมีข้อวิจารณ์ว่า ‘ออราเคิล’ บางแห่งสามารถถูกควบคุมหรือปรับเปลี่ยนจากส่วนกลางได้ง่าย

การแฮ็กที่เกิดขึ้นล่าสุดกับแพลตฟอร์มไฮเปอร์ลิควิด (Hyperliquid) เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนถึงความเปราะบางของแนวคิด ‘กระจายศูนย์’ เช่น การปลอมแปลงข้อมูลจากออราเคิล ทำให้กลไกของ DeFi ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ดัชนีมูลค่ารวมที่ถูกล็อก (TVL) ลดลงจาก 540 ล้านดอลลาร์ (ราว 7398 ล้านบาท) เหลือเพียง 150 ล้านดอลลาร์ (ราว 2055 ล้านบาท) ภายในระยะเวลาอันสั้น เหตุการณ์นี้กระตุ้นให้ผู้ใช้หลายคนเริ่มตั้งคำถามต่อความแตกต่างระหว่าง DeFi กับระบบการเงินแบบดั้งเดิม และที่สำคัญ มันส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นอย่างรุนแรง

หาก DeFi ต้องการฟื้นฟูความไว้วางใจจากผู้ใช้อีกครั้ง อาจจำเป็นต้องย้อนกลับไปหาแนวทางแบบ P2P ที่เคยเป็นรากฐานดั้งเดิม ระบบที่ผู้ใช้งานสามารถคุยกันโดยตรงเพื่อกำหนดประเภทของหลักประกัน อัตราดอกเบี้ย และเงื่อนไขต่าง ๆ ผ่านสัญญาอัจฉริยะที่สามารถบังคับใช้อัตโนมัติได้ โครงสร้างนี้เปิดโอกาสให้เกิด ‘ความไว้วางใจที่ตรวจสอบได้’ โดยไม่จำเป็นต้องมีตัวกลางเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งถือเป็นหัวใจของ DeFi อย่างแท้จริง

แม้ว่าโมเดลที่พึ่งพาพูลสภาพคล่องจะมีข้อดีในแง่ของประสิทธิภาพการใช้เงินทุน แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า มันลดเสรีภาพของผู้ใช้งานในการเจรจาเงื่อนไขต่าง ๆ ซึ่งขัดแย้งกับแก่นแท้ของการ ‘กระจายศูนย์’ ที่แท้จริง อย่างไรก็ตาม ความนิยมยังคงมีอยู่ เช่น แพลตฟอร์ม Aave ที่มีมูลค่าการฝากเงิน (TVL) ทะลุ 40,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 548,000 ล้านบาท) และยูนิสวอป (Uniswap) ที่มียอดการเทรดสะสมสูงถึง 3 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 411 ล้านล้านบาท) สะท้อนถึง ‘ความต้องการ’ ที่ยังคงแข็งแกร่งในวงการ DeFi

เพื่อแปลงความสนใจนี้ให้กลายเป็นการยอมรับในระดับมหาชน DeFi ต้องปรับทิศทางสู่ ‘ระบบที่ยึดผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง’ มากยิ่งขึ้น ระบบที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานกำหนดเงื่อนไขล่วงหน้า เลือกสินทรัพย์ตามต้องการ และไม่ต้องพึ่ง ‘ออราเคิล’ ที่มีความเสี่ยงต่อการถูกควบคุม หรือถูกปั่นข้อมูล ระบบที่เรียบง่าย ยืดหยุ่น และให้ความสำคัญกับ ‘เอกลักษณ์เฉพาะ’ ของแต่ละธุรกรรมต่างหาก คือรูปแบบของ DeFi ที่สามารถนำพาแนวคิดนี้ไปสู่การยอมรับในระดับสากลได้

ด้วยเหตุนี้ เวลานี้จึงเป็นช่วงเหมาะสมที่สุดที่ DeFi ควรกลับไปหาจุดเริ่มต้นของตนเอง เพราะเส้นทางเดียวที่สามารถนำไปสู่ ‘ความน่าเชื่อถือ โปร่งใส และการควบคุมตนเอง’ ที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่ ‘นวัตกรรมเฉพาะหน้า’ แต่คือการกลับไปสู่รากฐานที่ DeFi เคยยึดมั่นมาตั้งแต่ต้น

<ลิขสิทธิ์ ⓒ TokenPost ห้ามเผยแพร่หรือแจกจ่ายซ้ำโดยไม่ได้รับอนุญาต>

บทความที่มีคนดูมากที่สุด

บทความที่เกี่ยวข้อง

บทความหลัก

คอยน์เบส(COIN) ถอด 4 เหรียญคริปโตฯ ชื่อดัง ฉุด SYN ดิ่งกว่า 15%

ความคิดเห็น 0

ข้อแนะนำสำหรับความคิดเห็น

ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ ต้องการบทความติดตามเพิ่มเติม เป็นการวิเคราะห์ที่ยอดเยี่ยม

0/1000

ข้อแนะนำสำหรับความคิดเห็น

ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ ต้องการบทความติดตามเพิ่มเติม เป็นการวิเคราะห์ที่ยอดเยี่ยม
1