บิตคอยน์(BTC) พุ่งทะยานขึ้นกว่า 2,000 ดอลลาร์ในระยะเวลาอันสั้น โดยทะลุระดับ 107,500 ดอลลาร์ สะท้อนถึงกระแสความมั่นใจที่กลับมาสู่ตลาดคริปโตอีกครั้ง และสร้างแรงจูงใจให้นักวิเคราะห์หลายรายคาดการณ์ถึงแนวโน้มขาขึ้นรอบใหม่ หนึ่งในนั้นคือ แพลนบี(PlanB) เจ้าของโมเดล ‘Stock-to-Flow’ ผู้มีชื่อเสียงในวงการ ซึ่งประเมินว่าบิตคอยน์อาจแตะระดับ 130,000 ดอลลาร์ภายในสิ้นเดือนนี้
เมื่อเร็วๆ นี้ แพลนบีโพสต์ผ่านแพลตฟอร์ม X (เดิมชื่อทวิตเตอร์) ว่าดัชนี RSI ของบิตคอยน์กำลังกลับไปทดสอบระดับ 75 ซึ่งหากสามารถยืนเหนือจุดนี้ได้ อาจเป็นสัญญาณว่าโมเมนตัมบวกระยะยาวกำลังเริ่มต้นใหม่ โดย RSI เป็นตัวชี้วัดด้านเทคนิคที่ใช้ประเมินความร้อนแรงของสินทรัพย์ และค่าเหนือระดับ 70 มักถูกมองว่าเป็นช่วง ‘ซื้อมากเกินไป’ อย่างไรก็ตาม บิตคอยน์เคยแสดงให้เห็นว่าการขึ้นเหนือ 75 สามารถนำไปสู่การทะยานของราคาครั้งใหญ่ในอดีตมาแล้ว
หนึ่งในแรงขับเคลื่อนราคาในรอบนี้ก็คือการที่บริษัทเทเธอร์ ผู้ออกเหรียญสเตเบิลคอยน์ชื่อดัง อย่างเทเธอร์(USDT) มีการสร้างเหรียญใหม่เพิ่มอีกถึง 1,000 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้เกิดกระแสเงินทุนใหม่หลั่งไหลเข้าสู่ตลาดคริปโตในทันที โดยในช่วงการออกเหรียญ USDT ดังกล่าว บิตคอยน์ดีดตัวจากระดับ 105,000 ดอลลาร์ ขึ้นไปเกิน 106,500 ดอลลาร์ในระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมง บ่งชี้ว่าเม็ดเงินใหม่ในตลาดมีผลอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะนี้ ราคาบิตคอยน์ปรับตัวขึ้น 1.9% เมื่อเทียบกับวันก่อนหน้า ไปอยู่ที่ 107,770 ดอลลาร์ ขณะที่ปริมาณการซื้อขายในรอบ 24 ชั่วโมงอยู่ที่ 45,480 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 23.7% สอดคล้องกับ ‘แรงซื้อ’ ที่กำลังเพิ่มขึ้นในตลาดโดยรวม
ในอีกมุมหนึ่ง แม็กซ์ ไคเซอร์(Max Keiser) ที่ปรึกษาด้านบิตคอยน์ของรัฐบาลเอลซัลวาดอร์ แสดงความคิดเห็นว่า แม้แต่ค่าเงินลิราของตุรกีก็กำลังสูญเสียความน่าเชื่อถือจนแทบไม่มีค่าเมื่อเทียบกับบิตคอยน์ ท่ามกลางบริบทนี้ BTC จึงถูกมองว่าเป็น ‘ทรัพย์สินทางเลือก’ ที่ช่วยชดเชยความเสื่อมศรัทธาในเงินตราแบบดั้งเดิม
อย่างไรก็ตาม แม้การกลับมาแตะระดับ RSI ที่ 75 อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของรอบขาขึ้นใหม่ แต่ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและประเด็นด้านกฎเกณฑ์ที่ยังคงสร้างแรงกดดัน นักลงทุนจึงควรบริหารความเสี่ยงและติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดเพื่อรับมือกับทุกความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นในตลาดคริปโตในระยะต่อไป
ความคิดเห็น 0