10X Research วิเคราะห์ว่าการปรับตัวขึ้นของราคาอีเธอเรียม(ETH)เมื่อไม่นานมานี้ไม่ได้เกิดจากความต้องการในกองทุน ETF หรือการเก็งกำไรระยะสั้นเพียงอย่างเดียว แต่มีพื้นฐานจากกิจกรรมบนเครือข่ายและกลยุทธ์ทางการเงินที่เปลี่ยนไป ซึ่งบ่งชี้ว่าอีเธอเรียมกำลังเข้าสู่ ‘เฟสใหม่’ ของการเติบโต โดยมีองค์ประกอบหลักอย่างการเติบโตของดิไฟ(DeFi), การถือครองโดยภาคธุรกิจที่เพิ่มขึ้น และการเรียกใช้สมาร์ตคอนแทรกต์ภายในที่พุ่งสูง
หลัง ETF อีเธอเรียมได้รับอนุมัติในสหรัฐฯ มีเม็ดเงินไหลเข้ามากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ภายในไม่กี่สัปดาห์ ขณะเดียวกัน ร่างกฎหมายควบคุมสเตเบิลคอยน์ที่มีชื่อว่า ‘GENIUS Act’ คาดว่าจะประกาศใช้เร็ว ๆ นี้ ส่งผลให้สถาบันต่าง ๆ เริ่มวางตำแหน่งลงทุนระยะยาวในอีเธอเรียมเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะกองทุน ETF ของแบล็คร็อกที่สามารถระดมทุนได้ถึง 8.1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนถึง“ความต้องการ”ที่สูงในตลาด และแสดงให้เห็นว่าอีเธอเรียมได้รับการมองใหม่ในฐานะ ‘สินทรัพย์ที่สอดคล้องกับข้อกำกับดูแล’ มากกว่าจะเป็นแค่เทคโนโลยีหรือโทเคนเก็งกำไร
10X Research ยังชี้ว่า ตัวบ่งชี้เชิงเทคนิคอื่น ๆ เช่น มูลค่าสัญญาฟิวเจอร์สคงค้างที่เพิ่มขึ้น 11 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 3 สัปดาห์ และอัตราการให้ทุน (Funding Rate) ที่พุ่งจาก 5% ไปถึง 15% แต่ยังอยู่ในระดับภายใต้การควบคุม แสดงว่าการขึ้นราคาครั้งนี้มีฐานจากการซื้อขายจริงมากกว่าพฤติกรรมเก็งกำไร ซึ่ง แตกต่างจากรอบก่อนหน้าที่มักทำให้ราคาผันผวนกลับลงมาอย่างรุนแรง
ด้านการลงทุนของธุรกิจ อีเธอเรียมก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยบริษัทอย่าง Bitmain, SharpLink, Bit Digital ได้ถือครองรวมกันแล้วกว่า 3.1 พันล้านดอลลาร์ในอีเธอเรียม จากข้อมูลของ 10X Research คาดว่าบริษัทเหล่านี้อาจกำลังใช้กลยุทธ์คล้ายกับไมโครสแตรทีจี นั่นคือการ ‘เก็บสะสมสินทรัพย์ดิจิทัล และดึงดูดมูลค่าหุ้นเพิ่มผ่านเบี้ยประกันราคา(Price Premium)’
นอกจากนี้ ตลาดเอเชียยังดูเหมือนจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนราคาอีเธอเรียม โดยในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มากถึง 66% ของการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาเกิดขึ้นในช่วงเวลาทำการของภูมิภาคเอเชีย ขณะที่ช่วงยุโรปกลับมีแนวโน้มลดลง สำหรับตลาดเกาหลีใต้ ปริมาณการซื้อขายอีเธอเรียมและริปเปิล(XRP) เพิ่มขึ้นกว่า 200% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าแรงผลักดันต่อราคานั้นไม่ได้มาจากฝั่งตะวันตกเท่านั้น แต่อาเซียกำลัง ‘เป็นผู้นำ’ ของคลื่นการประเมินมูลค่าใหม่ระดับโลก
องค์ประกอบอีกประการหนึ่งคือ การเติบโตของการใช้งานจริงผ่านดีไฟ โดยมูลค่าทรัพย์สินที่ถูกล็อกไว้ (TVL) ในโปรโตคอลต่าง ๆ บนเครือข่ายอีเธอเรียมกลับมาสูงถึง 84 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดตั้งแต่ปี 2022 พร้อมกับจำนวนการเรียกใช้งานสมาร์ตคอนแทรกต์ภายในที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้ แสดงให้เห็นว่าอีเธอเรียมกำลังกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญสำหรับฟังก์ชันแบบกระจายศูนย์ (decentralized functions) ไม่ใช่แค่รับเงินลงทุนเข้ามาเฉย ๆ
จากการประเมินองค์รวมของ 10X Research ปัจจัยทั้งในเชิง on-chain และกลยุทธ์ตลาด สะท้อนว่าอีเธอเรียมอาจกำลังเข้าสู่ช่วง ‘เปลี่ยนผ่านแบบยั่งยืน’ แทนที่จะเป็นภาวะร้อนแรงชั่วคราว โดยเฉพาะหาก ‘GENIUS Act’ มีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 และเหรียญสเตเบิลคอยน์ได้รับการรับรองโดยสหรัฐฯ อีเธอเรียมก็มีโอกาสสูงที่จะกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของการเงินดิจิทัลในประเทศ
ท้ายที่สุด 10X Research แนะนำว่า “ตอนนี้ไม่ใช่ช่วงมองแค่ ‘ราคา’ แต่ควรจับตา ‘ประสิทธิภาพบนบล็อกเชน’ เป็นหลัก” พร้อมชี้ว่า กลยุทธ์ดีที่สุดอาจไม่ใช่การเก็งกำไรจากการพุ่งขึ้นระยะสั้น แต่คือ ‘การเข้าถือครองระยะยาว’ เพื่อใช้ประโยชน์จากศักยภาพระยะยาวของอีเธอเรียมในเศรษฐกิจดิจิทัลที่จะมาถึง
ความคิดเห็น 0