สหรัฐฯ เริ่มกระบวนการยึดทรัพย์สินคริปโตมูลค่ากว่า 710 ล้านวอน โดยเชื่อมโยงกับคดีหลอกลงทุนในน้ำมันระดับโลก ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายรวมนับร้อยล้านดอลลาร์ โดยทางการระบุว่า มีการนำเงินที่ได้จากนักลงทุนไปแปลงเป็นคริปโต เช่น บิตคอยน์(BTC), อีเธอเรียม(ETH) และเทเธอร์(USDT) ก่อนจะถูกซุกซ่อนไปยังรัสเซีย, ไนจีเรีย และผ่านทางไบแนนซ์
อ้างอิงจากสำนักงานอัยการกลางเขตซีแอตเทิล เมื่อเดือนธันวาคม 2024 สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรแห่งสหรัฐฯ ได้ยึดคริปโตดังกล่าว ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของมูลค่าความเสียหายรวม 9,700 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.3 พันล้านบาท) โดยผู้เสียหายถูกล่อให้ร่วมลงทุนในโครงการ ‘แทงก์เก็บน้ำมันให้ผลตอบแทนสูง’ แต่หลังจากโอนเงิน ผู้ต้องสงสัยกลับหายตัวไร้ร่องรอย
ผู้ต้องสงสัยหลักคือ เจฟฟรีย์ อาเยิง(Geoffrey Auyeung) ซึ่งถูกฟ้องในเดือนสิงหาคม 2024 และมีการยึดทรัพย์เพิ่มเติมจากบัญชีที่เขาควบคุม จำนวน 2.3 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 32 ล้านบาท) โดยอัยการระบุว่า อาเยิงมีบทบาทสำคัญในการแปลงเงินของผู้เสียหายเป็นคริปโตและนำออกนอกประเทศ
ผู้เสียหายที่ถูกยืนยันแล้วมีมูลค่ารวม 17.9 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 249 ล้านบาท) หากสามารถยึดคืนเพิ่มอีก 7.1 ล้านดอลลาร์ได้ ยอดรวมคริปโตที่ฟื้นคืนจะเพิ่มเป็น 9.4 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 130 ล้านบาท) ซึ่งจะถูกนำมาใช้ในการชดเชยให้กับเหยื่อทั้งหมด หลังผ่านขั้นตอนการตรวจสอบ
เหตุการณ์นี้ไม่ได้เป็นกรณีโดดเดี่ยว เจ้าหน้าที่ทั้งในสหรัฐฯ และนานาชาติเริ่ม ‘เร่งปราบปราม’ ขบวนการฉ้อโกงข้ามประเทศที่นำคริปโตมาใช้เป็นเครื่องมือในการฟอกเงิน ตัวอย่างเช่น คดีโอมีกาพรอ(OmegaPro) มูลค่ากว่า 650 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 9,000 ล้านบาท) ที่เป็นระบบแชร์ลูกโซ่ และคดีหลอกลวงแบบพอนซีที่มีอดีตนักรักบี้ เชน โดโนแวน มัวร์(Shane Donovan Moore) พัวพันรวมมูลค่ากว่า 900,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 12.5 ล้านบาท)
ในฮ่องกงเอง ยังมีกรณีฟิชชิ่งที่ทำให้สูญเสียไปกว่า 382,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 5.3 ล้านบาท) โดยผู้กระทำผิดเชื่อว่าได้หลบหนีไปต่างประเทศ ซึ่งตอกย้ำว่า ‘คริปโตยังคงเป็นเครื่องมือหลักในการเคลื่อนย้ายทุนข้ามพรมแดน’ และการใช้มาตรการทางกฎหมายของแต่ละประเทศกำลังทวีความเข้มข้นขึ้นอย่างรวดเร็วตามสถานการณ์
ความคิดเห็น 0