มูลค่าความเสียหายจากการแฮกในตลาดคริปโตช่วงเดือนกรกฎาคมพุ่งขึ้นถึง 27.2% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยมีมูลค่ารวมกว่า 142 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,975 พันล้านวอน ตามรายงานของบริษัทความปลอดภัยไซเบอร์ PeckShield เหตุการณ์แฮกระหว่างเดือนเกิดขึ้นถึง 17 กรณี สร้างแรงสั่นสะเทือนในแวดวงคริปโตและตอกย้ำ ‘ความกังวลด้านความปลอดภัย’ ที่ยังไม่คลี่คลาย
เหตุการณ์ที่ใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นกับ CoinDCX ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายคริปโตจากอินเดีย โดยมีการใช้เทคนิค ‘วิศวกรรมสังคม’ เพื่อแฝงมัลแวร์ผ่านข้อเสนองานปลอมจนทำให้พนักงานรายหนึ่งติดตั้งโปรแกรมอันตรายลงในระบบ ผลลัพธ์คือสินทรัพย์มูลค่า 44.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 614 พันล้านวอนถูกขโมย รายงานระบุว่าพนักงานรายดังกล่าวถูกควบคุมตัวแล้ว และเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังดำเนินการสืบสวน
กรณีที่รุนแรงรองลงมาเกิดกับ GMX ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มดีไฟแบบกระจายศูนย์สำหรับอนุพันธ์ โดยช่องโหว่ในระบบถูกแฮกเกอร์ใช้โจมตีจนสูญเสียเหรียญมูลค่า 42 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 584 พันล้านวอน) อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้จบลงแบบพลิกความคาดหมาย เพราะแฮกเกอร์ส่งคืนเหรียญทั้งหมดให้ GMX พร้อมทำข้อตกลงยุติคดี โดย GMX ตัดสินใจมอบ ‘ค่าตอบแทน’ เป็นจำนวน 5 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 70 พันล้านวอน) หนุนประเด็น ‘การเจรจากับแฮกเกอร์’ ที่กลับมาเป็นกระแสอีกครั้ง
ด้าน BigONE ก็ร่วงไปอยู่ในลำดับ 3 ของลิสต์ความเสียหาย โดยมีเหรียญที่ถูกขโมยไปมากถึง 27 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 375 พันล้านวอน) ซึ่งครอบคลุมสินทรัพย์อย่าง ชิบะอินุ(SHIB) และ โซลานา(SOL) ขณะที่โปรโตคอลอื่นอย่าง Moo(X) และ ฟิวเจอร์โปรโตคอล(Future Protocol) พบความเสียหายมูลค่า 12 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 167 พันล้านวอน) และ 4.2 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 58 พันล้านวอน) ตามลำดับ
แม้แต่ละเหตุการณ์จะเกิดจากกลวิธีต่างกัน แต่มีปัจจัยร่วมที่น่ากังวลคือ ‘ความบกพร่องด้านระบบรักษาความปลอดภัย’ และ ‘ช่องโหว่จากบุคลากรภายใน’ โดยเฉพาะกรณีที่พนักงานเป็นช่องทางให้เกิดการเจาะระบบ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการมี ‘ระบบควบคุมภายใน’ ที่เคร่งครัดยิ่งขึ้น ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมแนะว่า “นอกจากการยกระดับเทคโนโลยีแล้ว การอบรมบุคลากรและสร้างโปรโตคอลการตอบสนองเหตุฉุกเฉินก็เป็นสิ่งที่ต้องเร่งทำควบคู่กัน”
เมื่อ ‘เว็บ3’ และ ‘ดีไฟ’ ก้าวเข้ามาเป็นกระแสหลัก ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยไม่ได้จำกัดอยู่แค่โค้ดหรือระบบอีกต่อไป แต่กำลังขยายตัวเข้าสู่ ‘ความเสี่ยงด้านธรรมาภิบาล’ หรือ *Governance Risk* ที่อาจส่งผลกระทบต่อโครงการทั้งหมด แนะให้มีระบบตรวจสอบอิสระและความโปร่งใสในการดำเนินงานเพื่อป้องกันเหตุซ้ำรอยในอนาคต
ความคิดเห็น 0