ริปเปิล(XRP) ร่วงต่ำกว่าระดับแนวรับทางจิตวิทยาที่ ‘3 ดอลลาร์’ ส่งผลให้ตลาดคริปโตทั่วโลกเผชิญแรงเทขายอย่างหนัก โดยในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีการบังคับปิดสถานะการลงทุนคิดเป็นมูลค่าราว 464.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 6,478 พันล้านวอน) ส่งผลให้ไม่เพียงแต่ริปเปิลเท่านั้น แต่เหรียญอัลท์คอยน์หลักอื่น ๆ ก็ตกอยู่ในแนวโน้มร่วงแรงเช่นกัน การตัดขาดทุนของฝั่ง Long อย่างรวดเร็วในช่วงเวลาอันสั้น ยิ่งเพิ่มความไม่มั่นคงให้กับตลาดมากขึ้น
ข้อมูลจากแพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูลคริปโต CoinGlass เปิดเผยว่า จากมูลค่าการปิดสถานะทั้งหมดนั้น ราว 380 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 5,282 พันล้านวอน) มาจากฝั่ง Long หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 82% โดย *ริปเปิล* เคยร่วงแตะระดับ 2.96 ดอลลาร์ (ประมาณ 4,114 วอน) ระหว่างการซื้อขาย ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคมที่ผ่านมา ปัจจุบันมีการซื้อขายอยู่ที่ราว 2.98 ดอลลาร์ (ประมาณ 4,142 วอน) ตามข้อมูลจากกระดาน Bitstamp
ริปเปิลถือเป็นสกุลเงินดิจิทัลในกลุ่ม *10 อันดับแรกของมูลค่าตลาด* ที่มีระดับการร่วงลงมากที่สุด หากไม่นับโซลานา(SOL) โดยในวันเดียวกัน ริปเปิลลดลงมากกว่า 4% ขณะที่โซลานาร่วงลงกว่า 5% ทำสถิติแย่สุดของวัน
ในเชิงเทคนิค นักวิเคราะห์ยกให้ระดับ ‘2.81 ดอลลาร์’ (ประมาณ 3,906 วอน) เป็นแนวรับสำคัญระยะสั้นของริปเปิล เนื่องจากมีคำสั่งซื้อกว่า 1.7 พันล้านเหรียญอยู่ในช่วงราคานี้ หากพังลง มีแนวโน้มว่า *แรงขายจะยิ่งทวีความรุนแรง* มากขึ้น
การร่วงลงครั้งนี้ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ริปเปิลเท่านั้น เพราะแม้แต่ บิตคอยน์(BTC) ยังได้รับผลกระทบ โดยในวันศุกร์ ราคาหล่นไปแตะระดับ 115,059 ดอลลาร์ (ประมาณ 159.8 ล้านวอน) ซึ่งใกล้เคียงกับแนวรับสำคัญ ถือเป็นการย้ำเตือนถึงความ *ผันผวนสูง* ของตลาดคริปโต เมื่อเทียบกับตลาดการเงินดั้งเดิม ในช่วงที่ตลาดกำลังเจอกับภาวะปิดสถานะพร้อมกันและปัญหาสภาพคล่องลดลง
นักวิเคราะห์เตือนว่าบรรดานักลงทุนควรติดตามนโยบาย *อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ* อย่างใกล้ชิด รวมถึงตัวเลขเงินเฟ้อและข่าวเศรษฐกิจมหภาค เพราะยังมีผลอย่างมากต่อทิศทางตลาดคริปโตในอนาคต หลายเสียงมองว่า หากริปเปิลต้องการกลับเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้น จำเป็นต้องมี *ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น* และสามารถกลับไปยืนเหนือระดับ 3 ดอลลาร์ได้อย่างมั่นคง
เหตุการณ์การปิดสถานะจำนวนมากในครั้งนี้ เป็นเครื่องเตือนใจว่า *คริปโตยังเสี่ยงต่อการถูกปรับฐานในระยะสั้น* อย่างรวดเร็ว แม้จะพึ่งฟื้นตัวก็ตาม นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยง และยึดแนวรับทางจิตวิทยาไว้ในการวางกลยุทธ์การลงทุนต่อไป
ความคิดเห็น 0