บริษัทวิจัย อเลอา รีเสิร์ช เปิดเผยในรายงานล่าสุดว่า ยุคของ ‘เอเจนต์ AI อัตโนมัติ’ ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจัง และปัญหาใหญ่ที่ตามมาคือ ‘ช่องว่างความไว้วางใจ’ ต่อ AI ที่กำลังขยายตัวเป็นโครงสร้างถาวร ซึ่งต้องได้รับการแก้ไขผ่านระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านชื่อเสียงที่เชื่อถือได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลยุทธ์ของ *รีคอล เน็ตเวิร์ก(Recall Network)* ซึ่งใช้บล็อกเชนเป็นแกนหลัก ถือเป็นแนวทางที่น่าจับตา
จากสถานการณ์ปัจจุบันที่ผลลัพธ์ของ AI ยังสามารถถูกปรับแต่งหรือโฆษณาเกินจริงได้ง่าย ระบบยืนยันตัวตนตามเวลาแบบเรียลไทม์ที่รันบนบล็อกเชน กำลังกลายเป็นหัวใจหลักของโครงสร้างความเชื่อมั่นรูปแบบใหม่ โดยเฉพาะในยุคที่ AI ถูกนำมาใช้แทนที่การตัดสินใจของมนุษย์ในหลายด้าน เช่น อัลกอริทึมเทรดดิ้ง และการสร้างเนื้อหา ผู้ใช้งานจำเป็นต้องใช้ตัวชี้วัดที่ ‘เชื่อถือได้’ เพื่อเลือกเอเจนต์ที่เหมาะสม อย่างไรก็ดี ระบบวัดประสิทธิภาพแบบดั้งเดิมกลับพึ่งพาข้อมูลจำกัดและชุดทดสอบแบบตายตัว ซึ่งไม่สะท้อนความสามารถจริงในระยะยาว
จากจุดอ่อนดังกล่าว ‘รีคอล เน็ตเวิร์ก’ จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นระบบประเมินและให้คะแนนชื่อเสียงของ AI เอเจนต์แบบ *เรียลไทม์บนเชน* โปรโตคอลนี้ก่อตั้งต้นปี 2025 จากการควบรวมทีมข้อมูล Web3 สองทีม และเปิดให้เอเจนต์ AI เข้าร่วมในสมรภูมิการแข่งขันบนเชนเพื่อพิสูจน์ความสามารถ ทุกกิจกรรมและผลลัพธ์จะถูกบันทึกอย่างโปร่งใส และผู้ใช้งานสามารถติดตามได้ผ่านคะแนน ‘รีคอล แรงก์(Recall Rank)’ ที่ไม่ได้เน้นแค่ผลคะแนนเชิงตัวเลขเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการมีส่วนร่วมในระยะยาว ความสม่ำเสมอของผลลัพธ์ และการสนับสนุนจากผู้เดิมพันผ่านการสเตกโทเคน
ระบบการแข่งขันแบบนี้ ช่วยลดการปลอมแปลงข้อมูลได้อย่างมาก ตัวอย่างเช่น หากเป็นบอทเทรด ระบบจะบันทึกรายการซื้อขายแบบเรียลไทม์ไว้บนบล็อกเชน พร้อมทั้งเปิดให้นักลงทุนทั่วไปใช้โทเคนรีคอล($RECALL) สเตกในเอเจนต์ที่ตนเชื่อมั่น เพื่อแลกรับผลตอบแทนเมื่อตัวเอเจนต์ทำผลงานได้ดี ระบบนี้ถือเป็นกลไก ‘มีส่วนได้ส่วนเสีย’ โดยตรง ซึ่งช่วยผลักดันให้เกิดระบบนิเวศแห่งความเชื่อถือที่สร้างจากผลงานจริง
รีคอลยังขยายระบบให้รองรับการทำงานระหว่างเอเจนต์ต่อเอเจนต์(A2A), เอเจนต์กับธุรกิจ(A2B) และเอเจนต์กับผู้บริโภค(A2C) โดยในพื้นที่ A2A เอเจนต์สามารถทำธุรกรรมกันเองบนบล็อกเชน ส่วน A2B จะรองรับบริการอย่างการบริหารสินทรัพย์ การตอบลูกค้า และการเทรดแบบอัตโนมัติ ขณะที่ฝั่ง A2C ผู้บริโภคสามารถเลือกใช้ AI ส่วนตัวที่มี ‘กราฟความน่าเชื่อถือ’ ที่ตรวจสอบได้
รายงานยังชี้ด้วยว่า ความสำคัญอยู่ที่ ‘ความสามารถในการถ่ายโอนชื่อเสียง’ และ ‘กลไกรางวัลทางเศรษฐกิจ’ กล่าวคือ หากเอเจนต์แสดงศักยภาพเช่นการเขียนโค้ดหรือเทรดได้ดี ชื่อเสียงจากการแข่งขันหนึ่งสามารถนำไปต่อยอดยังบริบทอื่นได้ และนักคัดกรอง (คิวเรเตอร์) ก็สามารถค้นหา AI ที่ยังไม่โด่งดังเพื่อรับผลตอบแทนหากมันเติบโต กลไกนี้สร้างลูปเศรษฐกิจหมุนเวียนที่เชื่อมโยงระหว่าง *ชื่อเสียง, การลงทุน และประสิทธิภาพงานจริง*
ส่วนหนึ่งของกลไกนี้คือแพลตฟอร์ม ‘Predict’ ที่ถูกนิยามว่าเป็น ‘เบนช์มาร์กของเบนช์มาร์ก’ โดยเปิดตลาดคาดการณ์เพื่อประเมินความสามารถของโมเดล AI แบบคราวด์ซอร์ส เช่น ใช้ในการทดสอบ GPT-5 ในอนาคตผ่านการให้ผู้ใช้งานร่วมกันทำการประเมิน จากหลายบริบทโดยไม่จำกัดที่ชุดข้อมูลเดียว
ระบบโทเคโนมิกส์ของรีคอลก็ถูกออกแบบมาเพื่อเชื่อมโยงกิจกรรมทั้งระบบ เมื่อผู้ใช้จ่ายค่าธรรมเนียมหรือทำธุรกรรมผ่าน $RECALL ก็จะเกิดแรงจูงใจในการใช้แพลตฟอร์มมากขึ้น และเมื่อเอเจนต์ชนะการแข่งขันก็จะได้รับแรงก์และชื่อเสียงเพิ่ม ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะกระตุ้นให้มีการใช้งานมากขึ้นในระยะยาว
เวทีเศรษฐกิจโลกเคยระบุไว้ว่า “สกุลเงินที่สำคัญที่สุดในเศรษฐกิจ AI คือ ‘ความเชื่อมั่น’” รายงานจากอเลอา รีเสิร์ช ก็สะท้อนแนวคิดนี้อย่างชัดเจน โดยชี้ให้เห็นว่าระบบคะแนนผลลัพธ์และชื่อเสียงบนบล็อกเชนสามารถกลายเป็นพื้นฐานของเศรษฐกิจ AI ยุคใหม่ได้
การเข้าสู่ยุค AI ที่มีบทบาทเสมือนผู้เล่นในเศรษฐกิจบนเชน ไม่ใช่แค่เป็นเครื่องมือ แต่เป็นผู้ตัดสินใจและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจแบบโปร่งใส ชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่ทำให้ AI น่าเชื่อถือไม่ใช่คำโฆษณา แต่คือระบบที่ ‘ตรวจสอบได้’ อย่างแท้จริง และนี่คือก้าวแรกของเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยความไว้วางใจในยุค AI
ความคิดเห็น 0