การนำสกุลเงินดิจิทัลมาใช้ในระดับโลกกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้รัฐบาลหลายประเทศต้องเร่งกำหนดนโยบายเพื่อรับมือกับผลกระทบที่อาจเกิดกับระบบการเงินและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยในสัปดาห์นี้ หลายประเทศได้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่เกี่ยวข้องกับวงการคริปโต ซึ่งอาจเป็นทั้งอุปสรรคหรือแรงสนับสนุนต่อ *นวัตกรรม* ในอุตสาหกรรมนี้
ในสหรัฐฯ ปัญหาทางการเมืองได้สั่นสะเทือนวงการคริปโตอีกครั้ง เมื่อ *กระบวนการพิจารณากองทุนรวมซื้อขายล่วงหน้าสกุลเงินดิจิทัล (ETF)* ต้องหยุดชะงักลงทั้งหมด เนื่องจากรัฐบาลกลางเข้าสู่ภาวะ ‘ชัตดาวน์’ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม หลังจากสภาคองเกรสไม่สามารถตกลงกันในเรื่องงบประมาณ โดยหน่วยงานสำคัญอย่าง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ต้องจำกัดภารกิจไว้เฉพาะงานจำเป็นโดยใช้เจ้าหน้าที่เพียงบางส่วน ทำให้การพิจารณาและอนุมัติ ETF ด้านคริปโตต้องล่าช้าออกไปอย่างไม่มีกำหนด
ขณะที่ฝั่งอังกฤษกลับสร้างข่าวดีให้กับวงการนี้ โดยรัฐบาลอังกฤษได้ประกาศ *ยกเลิกการห้ามซื้อขายตราสารหนี้ที่อ้างอิงกับคริปโต หรือ ETN* ซึ่งเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ให้ผู้ลงทุนสามารถได้รับผลตอบแทนจากคริปโตโดยไม่ต้องถือครองเหรียญจริง โดยหน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินของอังกฤษ (FCA) ระบุว่า “ตลาดคริปโตมีความเติบโตและเสถียรภาพเพียงพอแล้ว อีกทั้งยังมีมาตรการป้องกันความเสี่ยงที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุน” ทำให้สามารถเปิดให้เข้าถึงการลงทุนในลักษณะจำกัดได้
ในเวลาเดียวกัน หลายประเทศยังคงเดินหน้า *กำหนดกรอบนิยาม และระบบการจัดประเภทสินทรัพย์ดิจิทัล* อย่างจริงจัง ขณะที่บางประเทศเริ่มให้กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ เข้าลงทุนโดยตรงในบิตคอยน์(BTC) และอีเธอเรียม(ETH) ซึ่งเป็นสัญญาณว่า *คริปโตเริ่มถูกยอมรับในฐานะสินทรัพย์ระบบสถาบัน*
การเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายระดับโลกในสัปดาห์นี้ มีทั้งการปฏิรูปทางกฎหมาย การผ่อนคลายข้อกำหนด และการชะลอการออกกฎหมาย สะท้อนให้เห็นว่า *กระบวนการทำให้คริปโตเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบเป็นทางการกำลังเดินหน้า* ภาครัฐในแต่ละประเทศยังคงต้องชั่งน้ำหนักระหว่าง ‘การปกป้องนักลงทุนรายย่อย’ และ ‘การส่งเสริมนวัตกรรมในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล’ อย่างรอบคอบต่อไป
ความคิดเห็น 0