คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ(SEC) กำลังเปลี่ยนทิศทางนโยบายเกี่ยวกับคริปโตอย่างมีนัยสำคัญในปี 2025 โดยรายงานจาก CoinEasy เมื่อเร็วๆ นี้วิเคราะห์ว่าโครงการ ‘Project Crypto’ กำลังเปลี่ยนมุมมองการกำกับดูแลไปสู่แนวทางที่เป็นมิตรกับคริปโตมากขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะในประเด็นสำคัญอย่าง ‘ลิควิดสเตกกิ้ง’, โครงสร้าง ETF และความเป็นส่วนตัวด้านการเงิน ซึ่งมีการกำหนดจุดยืนอย่างชัดเจน พร้อมทั้งวางรากฐานให้สหรัฐกลายเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมเทคโนโลยีคริปโตในอนาคต
พอล แอตกินส์(Paul S. Atkins) ประธาน SEC ได้ประกาศเปิดตัว Project Crypto อย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคม 2025 พร้อมออกแนวทางใหม่ที่รองรับการออกเหรียญคริปโตอย่างเสรี การใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลส่วนตัว และการยอมรับ ‘โปรโตคอลสเตกกิ้ง’ ว่าเป็นกลไกที่ถูกกฎหมาย ความเคลื่อนไหวนี้นับเป็นการพลิกวิธีการจากแนวทางควบคุมที่เข้มงวด สู่แนวคิดที่เน้นสนับสนุนการสร้างสรรค์และความยืดหยุ่นในอุตสาหกรรมคริปโต ทั้งนี้ CoinEasy วิเคราะห์ว่า ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้รับแรงหนุนจากร่างกฎหมาย GENIUS ของทรัมป์ การชี้แจงชัดเจนเกี่ยวกับกฎระเบียบ Stablecoin และพัฒนาการอื่นๆ ที่ผลักดันให้สหรัฐค่อยๆ กลายเป็นศูนย์กลางคริปโตระดับโลก
ในด้านของลิควิดสเตกกิ้ง (Liquid Staking) กฎหมายใหม่จากฝ่ายการเงินองค์กรของ SEC ซึ่งเผยแพร่ในเดือนสิงหาคม 2025 ระบุว่า ‘ไม่ถือเป็นหลักทรัพย์’ หากผู้ใช้งานยังคงครอบครองสิทธิความเป็นเจ้าของสินทรัพย์อย่างแท้จริง และโทเคน LST ทำหน้าที่คล้ายใบเสร็จรับเงินเท่านั้น อย่างไรก็ตาม SEC เตือนว่าหากลิควิดสเตกกิ้งถูกออกแบบใหม่ให้มีลักษณะเช่นการรับประกันผลตอบแทน การมอบสิทธิในการตัดสินใจหรือการลงทุนร่วม อาจถูกจัดเป็น ‘หลักทรัพย์’ ได้อีกครั้ง
อย่างไรก็ดี ความเห็นระหว่างคณะกรรมาธิการยังมีความแตกต่างกัน เฮสเตอร์ เพียร์ซ(Hester Peirce) มองว่าลิควิดสเตกกิ้งมีลักษณะใกล้เคียงกับการฝากเงินแบบปกติ พร้อมเน้นย้ำว่าควรรักษาสมดุลระหว่าง ‘ความชัดเจนของกฎระเบียบ’ และ ‘เสรีภาพของผู้ใช้งาน’ ขณะที่แคโรไลน์ เครนชอว์(Caroline Crenshaw) แสดงความกังวลว่าโครงสร้างบริการที่หลากหลายและสมมุติฐานที่ไม่มีความเป็นจริงอาจสร้างความไม่แน่นอนในระบบ และเรียกร้องให้มีกรอบกฎหมายที่ซับซ้อนและละเอียดมากขึ้น
ด้าน ETF ก็ได้รับการปรับเปลี่ยนเช่นเดียวกัน โดยตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป SEC อนุญาตให้ใช้วิธีการ ‘แลกเปลี่ยนแบบ In-Kind’ ซึ่งต่างจากเดิมที่อนุญาตเฉพาะการเปลี่ยนเป็นเงินสด วิธีใหม่นี้ช่วยให้ผู้ออก ETF สามารถแลกเปลี่ยนโทเคนคริปโต เช่น บิตคอยน์(BTC) โดยตรงกับนักลงทุนโดยไม่ต้องผ่านการซื้อขาย ทำให้เกิดประโยชน์ทั้งในด้าน ‘ต้นทุนที่ต่ำลง’, ‘ลดความคลาดเคลื่อนของราคา’, และ ‘หลีกเลี่ยงการบิดเบือนของราคา’ CoinEasy วิเคราะห์ว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะช่วยยกระดับประสิทธิภาพของตลาด ETF ด้านคริปโตได้อย่างมาก
ประเด็นเรื่อง ‘ความเป็นส่วนตัวทางการเงิน’ ก็กลายเป็นจุดถกเถียงที่เข้มข้น เฮสเตอร์ เพียร์ซ ได้แสดงความเห็นในการปราศรัยที่เบิร์กลีย์ว่า การเฝ้าระวังทางการเงินของภาครัฐอย่างเข้มงวดอาจคุกคามเสรีภาพของประชาชน โดยกล่าวถึงกฎหมาย BSA และโครงการ CAT ของสหรัฐว่าเป็นต้นเหตุของปัญหา พร้อมเสนอว่า ‘บล็อกเชน’ และเทคโนโลยี ZKPs คือคำตอบของการคุ้มครองความเป็นส่วนตัว รวมถึงแสดงความห่วงใยต่อการโยนความรับผิดทางกฎหมายให้กับนักพัฒนาโอเพนซอร์สและผู้ใช้งานแบบ P2P
ในตอนท้าย ความเคลื่อนไหวของ SEC ยังลุกลามไปถึงการโอนภาระภาษีระหว่างประเทศ โดยในบางกรณีที่มีการชดเชยความเสียหายของผู้ใช้งานจากการซื้อขายในตลาดแลกเปลี่ยนนอกสหรัฐด้วยภาษีของประชาชนสหรัฐ เพียร์ซชี้ว่าการตัดสินใจลักษณะนี้ถือเป็น ‘การตีความที่เกินเลยขอบเขต’ ซึ่งชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดด้านอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานกำกับดูแลในบริบทของตลาดการลงทุนระดับโลก
ตามรายงานจาก CoinEasy การผ่อนคลายนโยบายและการยอมรับเทคโนโลยีใหม่นี้ อาจปูทางให้สหรัฐกลายเป็น ‘ผู้เปลี่ยนเกม’ ในอุตสาหกรรมคริปโตในระยะยาว อย่างไรก็ดี ปัญหาในการนำไปใช้จริง รวมถึงการหาข้อตกลงร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลระดับนานาชาติ ยังคงเป็นความท้าทายสำคัญที่ SEC ต้องเผชิญต่อไป
ความคิดเห็น 0