ไมโครสแตรทิจี(MicroStrategy) เปลี่ยนชื่อเป็น ‘สแตรทิจี(Strategy)’ และเพิ่งเปิดตัวภายใต้ชื่อใหม่ แต่หุ้นของบริษัทกลับร่วงลงอย่างหนัก ซึ่งคาดว่าเป็นผลมาจากการปรับฐานของตลาดบิตคอยน์(BTC) และสินทรัพย์ดิจิทัลในช่วงนี้
ตามข้อมูลจากกูเกิลไฟแนนซ์ หุ้นของสแตรทิจีร่วงลงกว่า 11% ในการซื้อขายนอกเวลาตลาด โดยลดลงมาอยู่ที่ระดับ 250 ดอลลาร์ นับตั้งแต่ต้นปี หุ้นของบริษัทสูญมูลค่าไปแล้วกว่า 13.5% ซึ่งเป็นผลกระทบจากการที่ตลาดคริปโตหายไปกว่า 2.7 แสนล้านดอลลาร์ (ประมาณ 389 ล้านล้านวอน) ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
แม้หุ้นจะร่วงลง แต่ไมเคิล เซย์เลอร์(Michael Saylor) ผู้ร่วมก่อตั้งสแตรทิจียังคงมองโลกในแง่ดี โดยเขากล่าวติดตลกผ่านแพลตฟอร์ม X (เดิมคือทวิตเตอร์) ว่า “บางทีผมอาจจะต้องหางานที่สองเพื่อซื้อบิตคอยน์เพิ่ม”
ขณะเดียวกัน บางฝ่ายเริ่มกังวลว่าการร่วงลงของราคาหุ้นอาจนำไปสู่การถูก ‘บังคับขาย’ โดยบริษัทวิเคราะห์ทางการเงิน โคเบซซี เลตเทอร์(The Kobeissi Letter) ระบุว่า หุ้นของสแตรทิจีร่วงลงมากกว่า 55% จากจุดสูงสุดในอดีต อีกทั้งหากราคาบิตคอยน์หล่นต่ำกว่าราคาเฉลี่ยที่บริษัทซื้อไว้ที่ 66,380 ดอลลาร์ อาจทำให้เกิดการบังคับขายสินทรัพย์
ปัจจุบัน สแตรทิจีถือครองบิตคอยน์ทั้งสิ้น 499,096 BTC ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 44,300 ล้านดอลลาร์ (ราว 63.79 ล้านล้านวอน) แม้ว่าการซื้อครั้งล่าสุดจะติดลบ แต่โดยรวมแล้วยังมีกำไรจากการลงทุนประมาณ 34%
นักวิเคราะห์มองว่าบริษัทมีภาระหนี้สูง แต่ส่วนใหญ่เป็นตราสารหนี้แปลงสภาพที่ครบกำหนดในปี 2028 ขึ้นไป ซึ่งหมายความว่าความเสี่ยงจากการถูกบังคับขายในระยะสั้นยังมีน้อย นอกจากนี้ เซย์เลอร์ยังถือสิทธิ์ออกเสียงในบริษัทถึง 46.8% ทำให้โอกาสที่ผู้ถือหุ้นรายอื่นจะบีบให้ขายสินทรัพย์เป็นไปได้น้อย
แม้ว่าราคาคริปโตจะปรับตัวลดลง แต่ผู้เชี่ยวชาญบางรายยังคงมองว่าตลาดมีโอกาสเติบโตในระยะยาว แมตต์ ฮูแกน(Matt Hougan) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบิทไวส์(Bitwise) มองว่า เมื่อภาวะตลาดสงบลง สถาบันการเงินจะเดินหน้านำบิตคอยน์มาใช้มากขึ้น รวมถึงการเติบโตของ ‘สเตเบิลคอยน์’ และการโทเคไนซ์สินทรัพย์จะช่วยขับเคลื่อนตลาดต่อไป
สำหรับบิตคอยน์ ล่าสุดร่วง 4% มาอยู่ที่ 88,600 ดอลลาร์ ขณะที่มูลค่าตลาดคริปโตรวมยังคงอยู่ที่ระดับ 3 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งต้องจับตาดูว่าแรงเทขายจะยังคงดำเนินต่อไปหรือไม่
ความคิดเห็น 0