สำนักงานบัญชีกลางสหรัฐ(OCC) อนุญาตให้ธนาคารถือครองคริปโตเคอร์เรนซีในปริมาณจำกัดเพื่อใช้จ่ายเป็น ‘ค่าก๊าซ’ หรือค่าธรรมเนียมในการดำเนินธุรกรรมบนระบบบล็อกเชน โดยนับเป็นแนวทางทางกฎหมายครั้งแรกที่มุ่งเป้าอย่างเฉพาะเจาะจงต่อการใช้งานคริปโตของธนาคาร
เมื่อวันที่ 10 (เวลาท้องถิ่น) OCC ได้เผยแพร่จดหมายตีความ (Interpretative Letter) โดยระบุให้ธนาคารสามารถถือครองคริปโต ‘เท่าที่จำเป็น’ เพื่อใช้เป็นค่าธรรมเนียมในการดำเนินหรือยืนยันธุรกรรมบนเครือข่ายบล็อกเชน โดยแม้จะจำกัดการใช้งานเฉพาะในการชำระ ‘ค่าก๊าซ’ แต่มีการอ้างถึงกรณีตัวอย่างที่สื่อเป็นนัยถึงความสามารถในการถือครองคริปโตในรูปแบบอื่นด้วย
นอกจากนี้ OCC ยังได้เปิดเผยผลการพิจารณาคำขอเกี่ยวกับคริปโตเคอร์เรนซีและสเตเบิลคอยน์ที่ได้รับในช่วงระหว่างปี 2022 ถึง 2024 หลังจากประธานาธิบดีไบเดนเข้ารับตำแหน่ง โดยในทั้งหมด 21 กรณี มีเพียง 9 กรณีที่ได้รับอนุมัติ ซึ่งทั้งหมดเกี่ยวข้องกับกิจกรรมบนบล็อกเชนแบบมีสิทธิ์ควบคุม (permissioned blockchain) ส่วนอีก 8 กรณีผู้ยื่นคำขอถอนตัวเอง และ 4 กรณีไม่เข้าเกณฑ์พิจารณาเนื่องจากไม่ใช่การใช้งานเทคโนโลยีบัญชีแยกประเภทแบบกระจาย (DLT) โดยตรง
รายงานเผยว่า ในช่วงรัฐบาลไบเดน ยังไม่เคยมีโครงการคริปโตใดได้รับอนุมัติจาก OCC เลย แตกต่างจากช่วงปลายรัฐบาลทรัมป์ในปี 2020 ถึงต้นปี 2021 ซึ่ง OCC เคยออกจดหมายตีความหลายฉบับเปิดทางให้ธนาคารสามารถเข้าร่วมในเครือข่ายสเตเบิลคอยน์ได้อย่างชัดเจน ทว่าในเดือนพฤศจิกายน 2021 ซึ่งเป็นช่วงต้นของรัฐบาลปัจจุบัน OCC ได้ออกแนวทางใหม่ที่กำหนดให้ธนาคารต้องขออนุมัติก่อนเข้าร่วมกิจกรรมใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคริปโตหรือ DLT โดยแนวทางนี้เพิ่งถูกยกเลิกไปเมื่อต้นปีนี้
จากการวิเคราะห์ตัวเลขคำขออนุมัติพบว่า ซิตี้แบงก์ได้รับอนุมัติ 3 กรณี ขณะที่เจพีมอร์แกนได้รับอนุมัติ 6 กรณี โดยทั้งหมดเป็นการใช้บล็อกเชนแบบจำกัดสิทธิ์ แต่หลังจากปี 2022 ไม่มีธนาคารสหรัฐรายใดขอยื่นอนุมัติในส่วนของการชำระเงินผ่านระบบ DLT อีกเลย
‘ความคิดเห็น’: การยอมรับแบบจำกัดของ OCC แสดงให้เห็นถึงท่าทีระมัดระวังของผู้กำกับดูแลต่อเทคโนโลยีคริปโต แม้จะมีบางช่องทางที่เริ่มเปิดให้ธนาคารขยับเข้าใกล้ระบบการเงินดิจิทัลมากขึ้น แต่ก็ดูเหมือนว่ายังต้องใช้เวลาอีกพอสมควรในการขยายบริการคริปโตในวงกว้างอย่างแท้จริง
ความคิดเห็น 0