ตลาดคริปโตเผชิญกับความผันผวนรุนแรง หลังจากเกิดเหตุการณ์แฮ็กครั้งใหญ่, ราคาดิ่งหนัก และแรงกดดันทางการเมือง เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ไบบิต(Bybit) ถูกแฮ็กเป็นมูลค่ากว่า 1.4 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 50,000 ล้านบาท นับเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์คริปโต กลุ่มแฮ็กเกอร์ ‘ลาซารัส’ (Lazarus) ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับเกาหลีเหนือ ถูกระบุว่าอยู่เบื้องหลังการโจมตี กระเป๋าเงินที่ใช้ ‘สเตกกิ้ง’ (Staking) ของอีเธอเรียม(ETH) เป็นเป้าหมายหลัก เบน โจว(Ben Zhou) ซีอีโอของไบบิต ประกาศ ‘ทำสงคราม’ กับลาซารัส และยืนยันว่าจะพยายามกู้คืนทรัพย์สินที่ถูกขโมยไปให้ได้
ราคาบิตคอยน์(BTC) ร่วงลงกว่า 20% จากระดับสูงสุดล่าสุด ส่งผลให้ตลาดกังวลมากขึ้น ปัจจัยสำคัญที่กดดันราคาคือความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเมื่อทรัมป์มีแนวโน้มจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกที่อัตรา 25% ทำให้นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้ หุ้นที่เกี่ยวข้องกับบิตคอยน์ก็ได้รับผลกระทบไปด้วย
บริษัทขุดบิตคอยน์เผชิญกับแรงขายหนักหลังรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 โดยบิทเดียร์(Bitdeer) และไซเฟอร์ ไมนิง(Cipher Mining) ต่างเห็นราคาหุ้นร่วงลง 25% และ 17% ตามลำดับ นักวิเคราะห์มองว่า ‘การลดรางวัลบล็อกครึ่งหนึ่ง’ หรือ ‘Halving’ ของบิตคอยน์ในเดือนเมษายน 2024 เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กำไรของบริษัทขุดลดลง
ขณะเดียวกัน ซีอีโอของเทเธอร์(USDT) เปาโล อาร์โดอีโน(Paolo Ardoino) เตือนว่าฝ่ายการเมืองบางส่วนอาจมีความพยายามที่จะกำจัดเทเธอร์ เขาย้ำว่า “การล้มเลิกเทเธอร์เป็นเหมือนการทำลายเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการรักษาอิทธิพลของเงินดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก” ความคิดเห็นดังกล่าวสะท้อนถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นต่ออุตสาหกรรมคริปโตจากภาครัฐ
เหตุการณ์ในสัปดาห์นี้แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงและผลตอบแทนของตลาดคริปโตอย่างชัดเจน แม้จะมีความผันผวนระยะสั้น แต่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าแนวโน้มระยะยาวจะขึ้นอยู่กับการผ่อนคลายกฎระเบียบและการยอมรับในระดับสถาบันมากขึ้น
ความคิดเห็น 0