บิตคอยน์(BTC) กำลังเผชิญกับความเสี่ยงของการปรับฐาน หลังจากราคาหลุดจาก ‘แนวโน้มโค้งพาราโบลา’ ซึ่งถือเป็น ‘แนวรับทางเทคนิค’ ที่สำคัญ นักลงทุนผู้มีประสบการณ์อย่างปีเตอร์ แบรนต์ เตือนว่า เหตุการณ์ลักษณะเดียวกันเคยเกิดขึ้นมาแล้วในวงจรขาขึ้นก่อนหน้านี้ ซึ่งทำให้ราคาบิตคอยน์ร่วงกว่า 80% จากจุดสูงสุด อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางรายชี้ว่า โครงสร้างของตลาดในปัจจุบันมีความแตกต่างจากอดีตอยู่พอสมควร
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ปีเตอร์ แบรนต์เปิดเผยผ่าน X (ชื่อเดิม ทวิตเตอร์) ว่าบิตคอยน์ได้หลุดออกจากแนวพาราโบลาที่เคยเป็นเส้นนำในการเคลื่อนที่ช่วงขาขึ้น ซึ่งในประวัติศาสตร์ราคาของบิตคอยน์ การหลุดเทรนด์ในลักษณะนี้เคยเป็นสัญญาณก่อนเกิดภาวะตลาดขาลงอย่างต่อเนื่อง แบรนต์ระบุว่า “ทุกครั้งที่โครงสร้างพาราโบลาถูกทำลาย บิตคอยน์มักเข้าสู่ ‘ช่วงปรับฐานระยะยาว’ ดังนั้น ปัจจัยทางเทคนิคตอนนี้จึงถือว่าเป็น ‘สัญญาณเตือน’ อย่างหนึ่ง”
สิ่งที่สนับสนุนคำเตือนนี้คือข้อมูลในปี 2013 และ 2017 ที่บ่งชี้ว่าราคาบิตคอยน์เคยร่วงลงมากกว่า 80% จากจุดสูงสุดหลังจากที่แนวโน้มพาราโบลาถูกทำลาย อย่างไรก็ตาม ความเห็นอีกด้านหนึ่งชี้ว่า ปัจจุบันตลาดมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยเฉพาะในมุมของ ‘พื้นฐาน’ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างนักลงทุนหรือปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อภาพรวมของตลาด
ข้อมูลล่าสุดเผยว่า สัดส่วนการถือครองบิตคอยน์จากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนระยะยาวสูงกว่าช่วงก่อนหน้ามาก นอกจากนี้ยังมี ‘ความคาดหวัง’ เกี่ยวกับการอนุมัติของกองทุน ETF รวมไปถึงพฤติกรรมการสะสมเหรียญบนเครือข่ายเองก็มีแนวโน้มดีขึ้น ทำให้บางฝ่ายเชื่อว่า ‘ราคาจะไม่ทำซ้ำตามรูปแบบในอดีต’ อย่างสมบูรณ์
‘ความคิดเห็น’: การหลุดจากเส้นพาราโบลาไม่ควรถูกมองเป็นสัญญาณเดี่ยวในการคาดการณ์ตลาดขาลง แต่ควรพิจารณาข้อมูลประกอบอื่น ๆ อย่างรอบด้าน โดยเฉพาะ ‘ปริมาณการซื้อขาย’, ‘การเคลื่อนไหวของกระเป๋าเงินรายใหญ่’ และ ‘ความคืบหน้าในการอนุมัติ ETF’ ซึ่งล้วนมีศักยภาพในการเปลี่ยนทิศทางตลาดได้
แม้สัญญาณเตือนจะปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน แต่การดำเนินกลยุทธ์อย่างรอบคอบและเชิงวิเคราะห์จะช่วยให้นักลงทุนสามารถ ‘แยกแยะได้ว่า’ การปรับฐานที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นเพียงการ ‘พักฐานชั่วคราว’ หรือการเริ่มต้นของ ‘ขาลงรอบใหม่’ อย่างแท้จริง
ความคิดเห็น 0