ออฟเชนแลบส์(Offchain Labs) บริษัทผู้พัฒนาอาร์บิทรัม(Arbitrum) ซึ่งเป็นเครือข่ายเลเยอร์ 2 ของอีเธอเรียม(ETH) ได้ร่วมมือกับมูลนิธิอาร์บิทรัมเพื่อเปิดตัวโครงการใหม่ในรูปแบบอินคิวเบเตอร์ที่ชื่อว่า ‘ออนเชนแลบส์(Onchain Labs)’
เมื่อวันที่ 17 ออฟเชนแลบส์ประกาศว่าโครงการออนเชนแลบส์มีเป้าหมายเพื่อเร่งขยายระบบนิเวศของแอปพลิเคชันกระจายศูนย์ (DApp) บนเครือข่ายอาร์บิทรัม พร้อมสนับสนุนโครงการที่มีลักษณะสร้างสรรค์และมีการทดลอง อย่างไรก็ตาม การสนับสนุนครั้งนี้จะอยู่ในรูปแบบคำแนะนำด้านการพัฒนาและกลยุทธ์การเข้าสู่ตลาด มากกว่าการช่วยเหลือด้านทรัพยากรในการพัฒนาหรือการดำเนินงานโดยตรง นอกจากนี้ ฝ่ายบริหารของออฟเชนแลบส์ยังระบุว่า บริษัทด้านเงินร่วมลงทุนในเครืออย่างแทนดัม(Tandem) จะ ‘ไม่มีการรับประกัน’ ว่าจะเข้าซื้อโทเคนของโครงการที่ผ่านโปรแกรมนี้ในตลาดสาธารณะ
ออฟเชนแลบส์ยังกล่าวถึงการเติบโตของเครือข่ายอาร์บิทรัมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเน้นว่าขณะนี้ถึงเวลาที่เหมาะสมในการขยายเลเยอร์ของแอปพลิเคชันบนเครือข่ายต่อไป “ผ่านโครงการออนเชนแลบส์ เราต้องการช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอปพลิเคชันได้อย่างรวดเร็ว พร้อมมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้งานอาร์บิทรัม” บริษัทระบุ
นอกจากนี้ ออฟเชนแลบส์ยังเน้นว่าจะหลีกเลี่ยงรูปแบบการเปิดตัวโทเคนที่เป็น ‘ศูนย์ผลรวม’ (zero-sum) ซึ่งแพร่หลายในอุตสาหกรรมคริปโต โดยให้ความสำคัญกับแนวทางที่เป็นธรรมมากขึ้น “เราต้องสร้างระบบนิเวศที่ทุกฝ่ายสามารถเติบโตไปด้วยกัน” บริษัทกล่าว พร้อมยืนยันว่าความเป็นธรรมในการเปิดตัวโครงการจะเป็นเงื่อนไขสำคัญของโครงการ
ในอีกด้านหนึ่ง อีเธอเรียมกำลังเผชิญกับ ‘ความกระจัดกระจายของระบบนิเวศ’ อันเป็นผลมาจากการขยายตัวของเลเยอร์ 2 อย่างรวดเร็ว หลังจากการอัปเกรด ‘เดนคูน(Dencun)’ ข้อมูลจาก L2Beat ระบุว่าปัจจุบันมีเครือข่ายเลเยอร์ 2 ที่เปิดใช้งานมากกว่า 70 รายการ และจำนวนยังคงเพิ่มขึ้น ปัญหานี้ส่งผลให้แอปพลิเคชันกระจายศูนย์ถูกแยกออกจากกันบนเครือข่ายที่แตกต่างกัน และทำให้ความสามารถด้าน ‘การทำงานร่วมกัน’ (interoperability) เป็นประเด็นที่น่ากังวล
บิตาลี เดอร์โวเอด(Vitali Dervoed) ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Composability Labs ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชน แสดงความคิดเห็นว่า “การเพิ่มขึ้นของเลเยอร์ 2 อย่างต่อเนื่องทำให้ระบบนิเวศของอีเธอเรียมเกิดการกระจัดกระจายอย่างรุนแรง ซึ่งในระยะยาวอาจนำไปสู่ปัญหาเชิงโครงสร้าง”
อีกประเด็นหนึ่งที่เป็นข้อถกเถียงคือเครือข่าย L2 ราคาถูก เช่น อาร์บิทรัม อาจส่งผลกระทบต่อ ‘ความสามารถในการทำกำไร’ ของเครือข่ายหลักอีเธอเรียม สถาบันการเงินสแตนดาร์ดชาร์เตอร์(Standard Chartered) ได้ลดมูลค่าคาดการณ์ของอีเธอเรียมในปี 2025 จากเดิม 10,000 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 4,000 ดอลลาร์ ซึ่งปรับลดลงมากถึง 60% โดยเจฟฟ์ เคนดริก(Geoff Kendrick) หัวหน้าฝ่ายวิจัยสินทรัพย์ดิจิทัลของสแตนดาร์ดชาร์เตอร์กล่าวว่า “แม้ว่าการพัฒนา L2 จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของอีเธอเรียม แต่ในขณะเดียวกันก็ส่งผลให้มูลค่าตลาดของอีเธอเรียมหายไปประมาณ 50,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.8 ล้านล้านบาท)”
ความคิดเห็น 0