การฟอกเงินผ่านคริปโตมีความซับซ้อนมากขึ้น ทำให้หน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลกเร่งออกมาตรการรับมือ
เดิมที กลุ่มอาชญากรใช้เครือข่ายทางการเงินที่ไม่เป็นทางการ เช่น ‘ฮาวาลา’ หรือการขนส่งเงินสดเพื่อหมุนเวียนเงินผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม การแพร่หลายของสินทรัพย์ดิจิทัลและเทคโนโลยีบล็อกเชนที่ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด ทำให้เกิดรูปแบบธุรกรรมใหม่ที่สามารถดำเนินการได้รวดเร็วขึ้นในวงเงินที่สูงขึ้น
จากข้อมูลของ ‘เชนัลลิซิส’(Chainalysis) พบว่า ในปี 2023 มีเงินหมุนเวียนในกระเป๋าคริปโตที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมายถึง 22,200 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 8.1 แสนล้านบาท) ลดลงจาก 31,500 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.15 ล้านล้านบาท) ในปี 2022 อย่างไรก็ตาม ยังคงมีเงินจำนวนมากถูกฟอกผ่าน ‘ดาร์กเว็บ’ การโจมตีทางไซเบอร์ และแรนซัมแวร์
กระบวนการฟอกเงินผ่านคริปโตมักจะอยู่ใน 4 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ การได้รับเงินที่มาจากแหล่งผิดกฎหมาย การโอนเงินผ่านแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโต การแปลงและเคลื่อนย้ายสินทรัพย์ดิจิทัล และการนำเงินกลับเข้าสู่ระบบการเงินปกติ โดยบริการ ‘มิกเซอร์’ บริดจ์ข้ามเครือข่าย และแพลตฟอร์มการพนันออนไลน์ กำลังถูกใช้เป็นเครื่องมือบ่อยขึ้น
แม้ว่าธุรกรรมบิตคอยน์(BTC) และอีเธอเรียม(ETH) จะถูกบันทึกบนบล็อกเชนและสามารถตรวจสอบได้ แต่บางที่อยู่ออนไลน์ที่เชื่อมโยงกับตลาดมืดก็ยังคงสามารถหลบเลี่ยงการติดตามได้ ยกตัวอย่างเช่น ระหว่างปี 2019 ถึง 2022 มีมูลค่าเงินกว่า 7,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.56 แสนล้านบาท) ถูกฟอกผ่านบริการ ‘ทอร์นาโดแคช’(Tornado Cash)
สหรัฐฯ สหภาพยุโรป(EU) สิงคโปร์ และญี่ปุ่น กำลังเพิ่มความเข้มงวดด้านกฎระเบียบเพื่อลดความเสี่ยงจากการฟอกเงินผ่านสินทรัพย์ดิจิทัล สำนักงานปราบปรามอาชญากรรมทางการเงินของสหรัฐฯ หรือ ‘FinCEN’ ได้กำหนดให้แพลตฟอร์มคริปโตต้องปฏิบัติตามข้อบังคับป้องกันการฟอกเงินอย่างเข้มงวด ขณะที่ EU กำลังใช้กฎหมาย ‘มิกา’(MiCA) เพื่อปรับปรุงความโปร่งใสของธุรกรรม
ผู้เชี่ยวชาญเน้นว่าการพัฒนาระบบตรวจสอบและความร่วมมือระหว่างประเทศเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับปัญหานี้ ตัวแทนของ ‘เชนัลลิซิส’ กล่าวว่า "แม้ว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนจะช่วยให้ติดตามธุรกรรมได้ แต่กลุ่มอาชญากรยังคงพัฒนาวิธีการหลบเลี่ยงใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง" พร้อมเสริมว่า "ความร่วมมือระหว่างประเทศจะกลายเป็นสิ่งสำคัญยิ่งขึ้น"
ความคิดเห็น 0