บิตคอยน์(BTC) กำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่อาจเปรียบได้กับ ‘มาตรฐานทองคำ’ เช่นเดียวกับยุคตื่นทองในศตวรรษที่ 19 ที่เปลี่ยนแปลงระบบการเงินของสหรัฐอเมริกา โดยอิทธิพลของบิตคอยน์ที่มีต่อเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันก็กำลังเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ย้อนไปในปี 1848 การค้นพบทองคำในแคลิฟอร์เนียทำให้เกิดกระแสตื่นทอง ผู้คนจำนวนมากแห่กันไปขุดทอง ส่งผลให้ระบบธนาคารและตลาดสินเชื่อขยายตัว แนวโน้มเดียวกันนี้กำลังเกิดขึ้นกับบิตคอยน์เมื่อมันเข้ามาปฏิวัติระบบการเงินแบบดั้งเดิมผ่านแนวคิด ‘การกระจายศูนย์’ โดยบิตคอยน์ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการพัฒนา ‘สินทรัพย์ดิจิทัล’ การใช้โทเคน และโครงสร้างพื้นฐานของบล็อกเชน
ปัจจุบัน บิตคอยน์มีมูลค่าตลาดราว 2 ล้านล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2,920 ล้านล้านบาท) และนักลงทุนที่เข้าสู่ตลาดตั้งแต่ช่วงแรกบางคนก็กลายเป็นมหาเศรษฐี ยกตัวอย่างเช่น ไมเคิล เซย์เลอร์ ผู้ร่วมก่อตั้งไมโครสแตรทจี ที่ถือครองบิตคอยน์มูลค่าประมาณ 48,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท) และ จ้าว ฉางเผิง ผู้ก่อตั้งไบแนนซ์ ที่มีทรัพย์สินราว 57,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.66 ล้านล้านบาท)
ขณะที่บิตคอยน์กำลังกำหนดทิศทางกระแสเงินทุนโลก หลายประเทศและสถาบันการเงินแบบดั้งเดิมเริ่มให้ความสนใจในการใช้บิตคอยน์เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกายังถูกคาดการณ์ว่าอาจใช้บิตคอยน์เป็นสินทรัพย์สำรองเช่นกัน เนื่องจากระบบการเงินโลกกำลังมองหาทางเลือกใหม่หลังจากการล่มสลายของระบบแลกเปลี่ยนเงินตราตามมาตรฐานทองคำ
แม้จะมีข้อกังขาจากนักเศรษฐศาสตร์และนักการเงินแบบดั้งเดิม แต่จุดยืนของภาคการเงินต่อบิตคอยน์ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป เช่น แลร์รี ฟิงก์ ซีอีโอของแบล็คร็อค ที่เคยวิจารณ์บิตคอยน์ว่าเป็น "เครื่องมือฟอกเงิน" แต่ปัจจุบันแบล็คร็อคถือครองบิตคอยน์มากถึง 2.7% ของอุปทานรวม
ทรัมป์ก็มีจุดยืนชัดเจนเกี่ยวกับบิตคอยน์ โดยมองว่ามันอาจมีบทบาทเป็นสินทรัพย์สำรองทางยุทธศาสตร์ และรัฐบางแห่งในสหรัฐอเมริกาก็เริ่มผลักดันให้สามารถถือครองบิตคอยน์ได้อย่างเป็นทางการ แนวโน้มเหล่านี้บ่งชี้ว่า บิตคอยน์อาจเป็นส่วนสำคัญที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงของระบบการเงินโลกในอนาคต เช่นเดียวกับที่ ‘ทองคำ’ เคยทำไว้ในอดีต
ความคิดเห็น 0