บริษัทเซอร์เคิล ผู้ให้บริการสเตเบิลคอยน์ และอินเตอร์คอนติเนนตัล เอ็กซ์เชนจ์(ICE) ผู้ดำเนินงานตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก ได้ประกาศความร่วมมือเพื่อศึกษาแนวทางการรวมสเตเบิลคอยน์เข้ากับระบบของ ICE
เมื่อวันที่ 27 ตามบันทึกข้อตกลง (MoU) ที่เผยแพร่ออกมา ทั้งสองบริษัทจะศึกษาความเป็นไปได้ในการรวม ‘USD Coin(USDC)’ ซึ่งเป็นสเตเบิลคอยน์ที่อ้างอิงกับดอลลาร์สหรัฐ และ ‘USYC’ สเตเบิลคอยน์ที่ใช้พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเป็นหลักประกัน เข้ากับระบบของ ICE ซึ่งครอบคลุมตลาดซื้อขายตราสารอนุพันธ์, ห้องชำระบัญชี และบริการด้านข้อมูล ทั้งนี้คาดว่าจะช่วยขยายการใช้งานสเตเบิลคอยน์ในภาคการเงินดั้งเดิม
ลิน มาร์ติน ประธานตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก กล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า “เมื่อสินทรัพย์ดิจิทัลเริ่มได้รับความไว้วางใจมากขึ้นในตลาดทุน สเตเบิลคอยน์ของเซอร์เคิลก็มีแนวโน้มที่จะมีบทบาทที่สำคัญขึ้น” พร้อมเสริมว่า ICE ยินดีที่ได้สำรวจโอกาสในการนำ USDC และ USYC ไปใช้ในตลาดที่หลากหลายของบริษัท
การขยายตัวของสเตเบิลคอยน์และทรัพย์สินดิจิทัลที่ได้รับการโทเคนไรซ์ในภาคการเงินดั้งเดิม กำลังเป็นที่จับตามองมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ ICE มีท่าทีสอดคล้องกับแนวโน้มของภาคตลาดทุน เช่น การที่แนสแด็กเตรียมเปิดให้ซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมงในปี 2026 และตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก กำลังพิจารณาเรื่องการขยายเวลาทำการ
นอกจากนี้ บทบาทของสเตเบิลคอยน์ในประเทศกำลังพัฒนายังคงเติบโตอย่างรวดเร็ว รายงานตลาดคริปโตในละตินอเมริกาปี 2024 ของบิทโซ(Bitso) ระบุว่า ‘USDC’ และ ‘USDT’ คิดเป็น 39% ของธุรกรรมคริปโตทั้งหมดในภูมิภาค โดยถูกใช้เป็นเครื่องมือเก็บมูลค่าท่ามกลางแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรง
รายงานจาก CEX.IO ที่เผยแพร่ในเดือนมกราคม 2025 ชี้ว่า ปริมาณการโอนสเตเบิลคอยน์ในปี 2024 สูงถึง 27.6 ล้านล้านดอลลาร์ (ประมาณ 4,273 ล้านล้านบาท) ซึ่งสูงกว่ามูลค่าธุรกรรมรวมของวีซา(Visa) และมาสเตอร์การ์ด(Mastercard) ถึง 7.7% โดยปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการเติบโตของสเตเบิลคอยน์ ได้แก่ ต้นทุนธุรกรรมที่ต่ำกว่า, การชำระเงินที่รวดเร็วทันที และความสะดวกในการโอนเงินข้ามพรมแดน
ความร่วมมือระหว่างเซอร์เคิลและ ICE ครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่อาจช่วยลดช่องว่างระหว่างคริปโตและระบบการเงินดั้งเดิม หากโครงการบูรณาการสเตเบิลคอยน์สำเร็จ ก็อาจช่วยเพิ่มบทบาทของสินทรัพย์ดิจิทัลในตลาดการเงินโลกได้อย่างมีนัยสำคัญ
ความคิดเห็น 0