แนวทางการขยายตัวของอีเธอเรียม(ETH) ผ่านระบบเลเยอร์ 2 (Layer 2: L2) ที่ใช้เทคโนโลยีโรลอัป(rollup)อาจเปิดทางสู่โครงข่ายที่สามารถรองรับปริมาณธุรกรรมในระดับสูงได้ไม่จำกัด จากการวิเคราะห์ของผู้ร่วมก่อตั้งโปรเจกต์อาเวล(Avail)
อานูรัก อาร์จูน(Anurag Arjun) ผู้ร่วมก่อตั้งอาเวล ได้ให้สัมภาษณ์กับ Cointelegraph เมื่อไม่นานมานี้ว่า โครงสร้างโมโนลิธิค(monolithic architecture)แบบรวมศูนย์ของหลายบล็อกเชนที่เน้นความเร็วในการประมวลผล เป็นแนวทางที่แตกต่างกับอีเธอเรียมที่เลือกใช้โมเดลขยายตัวแบบกระจายผ่าน L2 โดยมุ่งเน้นไปที่ความยืดหยุ่นในการพัฒนา และการทดลองจากแต่ละทีม
เขาชี้ว่า ‘จุดเด่น’ ของแผนการขยายตัวด้วยโรลอัปคือ อนุญาตให้แต่ละทีมนำเสนอสิ่งแวดล้อมการทำงานรูปแบบต่าง ๆ และระยะเวลาในการสร้างบล็อกที่สอดคล้องกับเป้าหมายของตน ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากจากเชนแบบเลเยอร์ 1 ที่มีโครงสร้างตายตัว พร้อมระบุว่าระบบ L2 ของอีเธอเรียมจึงก่อเกิดความหลากหลายและความเป็นอิสระสูงในการพัฒนา
อย่างไรก็ตาม อาร์จูนเตือนว่า แม้เชนแบบ L2 จะมีศักยภาพสูง แต่ ‘ข้อจำกัด’ สำคัญคือการขาดการเชื่อมต่อระหว่างกัน ส่งผลให้ประสบการณ์ของผู้ใช้งานยังมีความสับสน และการโอนสินทรัพย์ระหว่าง L2 ต่าง ๆ ก็อาจยากไม่ต่างกับการย้ายสินทรัพย์ข้ามบล็อกเชนผ่านบริดจ์ทั่วไป
แม้จะยังมีความท้าทายเรื่องความเป็นมิตรต่อผู้ใช้ แต่ระบบนิเวศของอีเธอเรียมที่เอื้อต่อการพัฒนาเชิงนวัตกรรมโดยอิสระผ่าน L2 ที่หลากหลาย กำลังได้รับความสนใจว่า ‘เป็นกลยุทธ์ที่แตกต่าง’ จากเชนคู่แข่ง โดยเฉพาะในแง่การรองรับการเติบโตในระยะยาวและการทดลองทางเทคโนโลยีใหม่ ๆ
ความคิดเห็น 0