DeSci หรือวิทยาศาสตร์แบบกระจายศูนย์ กำลังกลายเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญของระบบนิเวศคริปโตในยุคใหม่ ตามรายงานฉบับล่าสุดจาก Klein Labs ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยบล็อกเชนระดับโลก รายงานระบุว่า DeSci ไม่เพียงแค่พลิกโฉมวิธีการทำวิจัยทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ยังเป็นแนวโน้มใหญ่ที่มีศักยภาพทดแทนข้อจำกัดของระบบวิทยาศาสตร์แบบดั้งเดิม ด้วยการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน นำเสนอรูปแบบใหม่ของการจัดหาเงินทุน ความร่วมมือ และความโปร่งใสของข้อมูลที่สร้างขึ้นในงานวิจัย
ในอดีต DeSci เคยถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเพียงปรากฏการณ์ชั่วคราวหรือกระแสโทเคนเชิงล้อเลียนคล้าย *มีมคอยน์* แต่ปัจจุบัน ได้แปรสภาพกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่มีความยั่งยืนมากขึ้น โดยอาศัยความสามารถของบล็อกเชนในการสร้าง ‘ความไว้วางใจแบบอัตโนมัติ’ และระบบให้รางวัลผ่านโทเคน เช่น การใช้ NFT ในการแปลงทรัพย์สินทางปัญญา (IP) การจัดเก็บข้อมูลแบบเปิด และระบบการจัดสรรเงินทุนผ่าน DAO
Klein Labs ยังชี้ให้เห็นว่าโครงสร้างพื้นฐานของ DeSci สามารถแก้ปัญหาโครงสร้างพื้นฐานของระบบวิจัยแบบดั้งเดิมได้ถึง 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ การกระจุกตัวของเงินทุน, ความไม่เท่าเทียมในโอกาสเข้าถึง และการผูกขาดผลลัพธ์ ตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์ม Molecule ใช้ NFT เพื่อแปลง IP ด้านชีวการแพทย์ ส่งผลให้เวลาระดมทุนลดลงถึง 60% ขณะที่ Ocean Protocol สร้างตลาดข้อมูลแบบกระจายศูนย์ที่รองรับข้อมูลวิจัยมากกว่า 20 เพตะไบต์ (PB) โดยรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้
การปฏิรูประบบแบบนี้ เปิดโอกาสให้กับนักวิจัยในประเทศกำลังพัฒนาและนักวิทยาศาสตร์พลเมืองที่เคยถูกกีดกันด้วยข้อจำกัดทางทุนและโครงสร้างได้มีบทบาทอย่างเท่าเทียม นอกจากนี้ ระบบ DAO ยังจัดสรรงบประมาณตามลำดับความสำคัญของโครงการ ผลลัพธ์จากการทดลองถูกบันทึกผ่านสมาร์ตคอนแทรกต์ และบทความวิจัยก็ถูกเผยแพร่ในรูปแบบ NFT พร้อมประเมินผลโดยระบบคะแนนความน่าเชื่อถือบนบล็อกเชน ความโปร่งใสและความถูกต้องของข้อมูลกลายเป็นคุณค่าหลักที่บล็อกเชนนำเข้ามา
อีกด้านหนึ่ง รายงานยังเน้นว่า DeSci กำลังผสานเข้ากับเทคโนโลยี Web3 อื่น ๆ เช่นการค้าข้อมูลชีวภาพ, ระบบ DAO, และ AI Agent สร้างโมเดลเศรษฐกิจแบบใหม่ที่ก้าวไกลกว่า DeFi หรือ NFT ตัวอย่างเช่น VitaDAO, LabDAO และ Gitcoin Grants ต่างก็ใช้โทเคนสำหรับการบริหารจัดการและโมเดลการเงินแบบชุมชนเพื่อขับเคลื่อนการวิจัยจากระดับพื้นฐานจนถึงระดับลึกในระยะยาว
มูลค่าตลาดรวมของ DeSci ณ ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์ โดยมีปริมาณการซื้อขายรายวันอยู่ระหว่าง 8 ถึง 12 ล้านดอลลาร์ แม้จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเมื่อเทียบกับสาขาอื่น ๆ อย่าง DeFi หรือ AI Agent แต่สัดส่วนปริมาณซื้อขายต่อมูลค่าตลาด (MC/TV) ที่อยู่ในช่วง 8–15 เท่าตัว แสดงให้เห็นว่ามีการประเมินมูลค่าเชิงความหวังอย่างเด่นชัด ข้อมูลเพิ่มเติมยังเผยว่า *55%* ของกระเป๋าที่ถือ DeSci Token นั้นถือไว้เกินหนึ่งปี เป็นเครื่องบ่งชี้ว่านักลงทุนจำนวนมากให้ความสำคัญกับศักยภาพระยะยาวมากกว่าผลตอบแทนระยะสั้น
อย่างไรก็ตาม DeSci เองก็ต้องเผชิญกับอุปสรรคทางโครงสร้าง ในรายงานระบุว่า ในการทดลองทางชีววิทยาหลักจาก Bio Protocol เพียง *68%* เท่านั้นที่ผ่านการตรวจสอบจากนักวิจัยรายอื่น ขณะที่ *23%* ของสัญญาเกี่ยวกับ IP-NFT ต้องถูกยกเลิกเนื่องจากประเด็นสถานะทางกฎหมายของบล็อกเชน เหล่านี้สะท้อนว่า แม้จะเป็นนวัตกรรมด้านเทคโนโลยี แต่ DeSci ยังต้องเข้าสู่กระบวนการสร้างความเชื่อมั่นทางกฎหมายและระบบนิเวศที่รับรองได้
ถึงกระนั้น แนวโน้มของการเติบโตยังคงชัดเจน Klein Labs คาดการณ์ว่าภายในปี 2030 DeSci จะมีมูลค่าตลาดรวมแตะ 5 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยมีบทบาทเสริมองค์กรวิจัยในแง่ของการระดมทุนเริ่มต้น การปกป้องสิทธิ์ IP และการเชื่อมโยงองค์ความรู้ระดับโลก *ความคิดเห็น*: DeSci กำลังกลายเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ทำให้เทคโนโลยีคริปโตสร้างผลกระทบต่อสังคมอย่างแท้จริง โดยในระยะสั้น การปรับตัวเพื่อสอดรับกับข้อกำหนดด้านกฎหมายและการยกระดับการประกันคุณภาพจะเป็นความท้าทายสำคัญ และในระยะยาว DeSci มีศักยภาพในการเป็นกลไกของการกระจายองค์ความรู้ (Knowledge Decentralization) อย่างแท้จริง
ความคิดเห็น 0