บิตคอยน์(BTC) เตรียมอัปเกรดซอฟต์แวร์หลัก ‘บิตคอยน์คอร์(Bitcoin Core)’ ครั้งใหญ่ในเวอร์ชัน ‘Core 30’ ซึ่งมีกำหนดเปิดตัวในเดือนตุลาคมนี้ การเปลี่ยนแปลงสำคัญของการอัปเดตนี้ คือการขยายความจุพื้นฐานของคำสั่ง ‘OP_RETURN’ จากเดิม 80 ไบต์ เป็นสูงสุดถึงประมาณ 4 เมกะไบต์ โดยคำสั่งดังกล่าวใช้ในการบันทึกข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมทางการเงิน ซึ่งการปรับปรุงนี้อาจ *เปิดประตูให้บิตคอยน์กลายเป็นแพลตฟอร์มสำหรับจัดเก็บข้อมูลหลากหลายประเภท* ได้มากกว่าที่เคยเป็นมา
‘OP_RETURN’ เป็นฟังก์ชันที่อนุญาตให้ผู้ใช้แนบข้อมูลที่ไม่สามารถใช้งานกับธุรกรรมได้อีกต่อไป เช่น การพิสูจน์ผลงานศิลปะดิจิทัลหรือข้อมูลการยืนยันสิทธิ์ แต่ในอดีตเนื่องจากข้อจำกัดด้านขนาดข้อมูล การใช้งานจริงจึงถูกจำกัดไว้เพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม หลังการอัปเดตนี้ ผู้ใช้จะสามารถบันทึกข้อมูลที่ใหญ่กว่ามากลงในบล็อกเชน โดยไม่กระทบต่อการทำงานของเครือข่าย เนื่องจากการเปิดใช้งานยังขึ้นอยู่กับความสมัครใจของผู้ใช้และไม่บังคับให้ผู้ขุดหรือโหนดต้องรับข้อมูลเหล่านี้ ซึ่ง *ช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับปัญหาข้อมูลสแปมได้ระดับหนึ่ง*
อย่างไรก็ดี แนวทางใหม่นี้ยังคงสร้างข้อถกเถียงในชุมชน ผู้คัดค้านมองว่าการถอดขีดจำกัดนี้ทำให้พื้นที่บล็อกเต็มไปด้วยข้อมูลที่ไม่ใช่ทางการเงิน ซึ่งอาจส่งผลลบต่อคุณค่าพื้นฐานของบิตคอยน์ นอกจากนี้ การลบตัวเลือกอย่าง -datacarriersize ซึ่งในอดีตเปิดโอกาสให้ผู้ดูแลโหนดสามารถกำหนดค่าขนาดข้อมูลเองได้ ยังถูกวิจารณ์ว่า *อาจลดทอนหลักการกระจายอำนาจ* ที่บิตคอยน์ยึดถือมาอย่างยาวนาน โดยนักพัฒนาอย่าง 'Seccour' และ 'wizkid057' ยังแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน พร้อมระบุว่า การเปลี่ยนแปลงนี้คือ ‘การยอมแพ้ให้กับสแปม’ และบั่นทอนความสามารถในการควบคุมคุณภาพของเครือข่าย
ในทางกลับกัน ฝ่ายสนับสนุนเชื่อว่าการบันทึกข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเงินบนบล็อกเชนก็เกิดขึ้นมานานแล้ว การพยายามห้ามปรามอาจยิ่งกระตุ้นให้มีการใช้วิธีการซับซ้อนและยากต่อการตรวจสอบมากขึ้น อีกทั้งข้อมูลที่บันทึกด้วย OP_RETURN ยังไม่ได้รับการประมวลผลเป็นธุรกรรมโดยตรง และไม่รบกวนชุด UTXO ทำให้ *เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพกว่าช่องทางอื่น* นักพัฒนา 'murchandamus' ยังชี้ให้เห็นว่า ทางเลือกนี้ช่วยลดปริมาณทราฟิกระหว่างโหนด และ *ลดแรงจูงใจในการรวมศูนย์ของผู้ขุดได้*
ทีมพัฒนาบิตคอยน์คอร์เน้นย้ำว่า การตัดสินใจครั้งนี้สอดคล้องกับปรัชญาแกนกลางของโครงการ ที่ให้ความสำคัญกับการต้านทานการเซนเซอร์และการกระจายอำนาจ โดยมองว่าหน้าที่ของเทคโนโลยีไม่ใช่การตัดสินว่าอะไรคือการใช้งานที่ ‘ถูกหรือผิด’ แต่ควรเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้ภายใต้ข้อจำกัดทางเศรษฐศาสตร์ของเครือข่าย และเพิ่มความโปร่งใส โดยระบุว่า หากไม่เปิดรับข้อมูลเหล่านี้ผ่าน OP_RETURN ผู้ใช้จะยิ่งหันไปใช้ช่องทางที่ซ่อนไม่ให้ตรวจสอบแทน
ด้วยการขยายความสามารถนี้ บล็อกเชนของบิตคอยน์จะสามารถรองรับการประยุกต์ใช้ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ทั้งในภาคศิลปะ, การเก็บบันทึกข้อมูล หรือแม้แต่บริการบนบล็อกเชนในอนาคต อย่างไรก็ตาม *ประเด็นการใช้ทรัพยากรในบล็อกอย่างมีประสิทธิภาพ* และการคงไว้ซึ่งความยืดหยุ่นของเครือข่าย จะยังคงเป็นหัวข้อถกเถียงในวงการอย่างต่อเนื่องต่อไป
ความคิดเห็น 0