อีเธอเรียม(ETH) ฉลองครบรอบ 10 ปีของการเปิดตัวเมนเน็ตในปีนี้ โดยตลอดทศวรรษที่ผ่านมา อีเธอเรียมได้พัฒนาเกินกว่าการเป็นเพียงสกุลเงินดิจิทัล กลายเป็นแพลตฟอร์มกระจายศูนย์สำหรับแอปพลิเคชันระดับโลก พร้อมผ่านจุดเปลี่ยนหลายครั้ง ตั้งแต่การเปิดตัวสมุดปกขาวไปจนถึงอัปเกรดครั้งล่าสุดอย่าง ‘เปกทรา(Pectra)’ โดยเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ สะท้อนถึงอิทธิพลของอีเธอเรียมที่มีต่ออุตสาหกรรมบล็อกเชนอย่างชัดเจน
จุดเริ่มต้นของอีเธอเรียมย้อนกลับไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2013 เมื่อ วิตาลิก บูเทริน(Vitalik Buterin) เผยแพร่สมุดปกขาวครั้งแรก โดยตั้งเป้าหมายให้บล็อกเชนนี้กลายเป็น ‘คอมพิวเตอร์ของโลก’ ที่สามารถรันแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ได้อย่างอิสระ ต่อมาในเดือนกรกฎาคม 2014 อีเธอเรียมได้ทำ ICO ครั้งใหญ่ที่สามารถระดมทุนได้ราว 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 250 ล้านบาท) และในเดือนกรกฎาคม 2015 เมนเน็ตก็เริ่มเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการ
หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในปี 2016 กับการแฮ็ก The DAO ซึ่งถือเป็นวิกฤตที่ใหญ่ที่สุดเหตุการณ์หนึ่งในประวัติศาสตร์ของอีเธอเรียม เพื่อนำเงินกลับคืนให้กับผู้ใช้ ทีมงานตัดสินใจทำ *ฮาร์ดฟอร์ก* ซึ่งนำไปสู่การแยกตัวของอีเธอเรียมคลาสสิก(ETC) จากนั้นในปี 2017 การอัปเกรดผ่าน *ฮาร์ดฟอร์ก Byzantium* ได้เน้นเรื่องการเพิ่มการรักษาความเป็นส่วนตัวและปรับปรุงประสิทธิภาพของสมาร์ทคอนแทรกต์
ปี 2019 มีการเปลี่ยนแปลงผ่าน *ฮาร์ดฟอร์ก Constantinople* โดยลดรางวัลของบล็อกและเสริมความสามารถของสมาร์ทคอนแทรกต์ ส่วน *ฮาร์ดฟอร์ก London* ในปี 2021 นำเสนอ EIP-1559 ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนใหญ่ในโครงสร้างค่าธรรมเนียม ด้วยระบบการเผาเหรียญบางส่วนซึ่งช่วยจำกัดอุปทาน ‘ETH’ และยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้งาน
จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดเกิดขึ้นในเดือนกันยายน 2022 กับการอัปเกรด ‘*The Merge*’ ที่อีเธอเรียมเปลี่ยนกลไกการยืนยันธุรกรรมจาก *Proof of Work (PoW)* ไปสู่ *Proof of Stake (PoS)* อย่างสมบูรณ์ ทำให้การขุดเหรียญกลายเป็นอดีตนับแต่นั้นเป็นต้นมา หลังจากนั้นอีเธอเรียมยังคงพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง โดยในปีนี้ *ฮาร์ดฟอร์ก Pectra* ที่ดำเนินการในเดือนกรกฎาคมได้รวม 11 EIP หลัก เช่น การเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ตรวจสอบ L2, ขยายการทำงานของระบบระดับที่สอง และนำฟังก์ชัน ‘สมาร์ทวอลเล็ต’ มาผสาน รวมถึงได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในอัปเกรดที่ ‘ทะเยอทะยานที่สุด’
ในอนาคต อีเธอเรียมมีแผนเดินหน้าสู่ *ฮาร์ดฟอร์ก* ใหม่อย่าง ‘Fulu-Osaka’ และ ‘Gloas-Amsterdam’ โดยเน้นลดเวลาในการสร้างบล็อกและเพิ่มประสิทธิภาพทั่วทั้งเครือข่าย ซึ่งจะช่วยให้อีเธอเรียมคงบทบาทเป็นแกนกลางของระบบนิเวศกระจายศูนย์ และเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักของ Web3 บนระดับโลกได้ต่อไป
การครบรอบ 10 ปีของอีเธอเรียมครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงการเฉลิมฉลองของแพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่ง แต่เป็น ‘หมุดหมายสัญลักษณ์’ ที่แสดงให้เห็นว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีกระจายศูนย์สามารถดำเนินไปอย่างยั่งยืน เส้นทางที่ผ่านมาและเส้นทางในอนาคตของอีเธอเรียม จะยังคงเป็นหนึ่งในเรื่องราวที่ทรงอิทธิพลที่สุดของอนาคตเทคโนโลยีบล็อกเชน
ความคิดเห็น 0