บริษัทด้านคริปโตและฟินเทคชั้นนำของสหรัฐฯ เรียกร้องให้ทรัมป์สั่งห้ามธนาคารขนาดใหญ่เรียกเก็บ 'ค่าธรรมเนียมเข้าถึงข้อมูลบัญชี' ในอัตราที่สูงเกินไป โดยอ้างว่าเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงทางเลือกของผู้บริโภคและขัดขวางนวัตกรรม
เมื่อวันที่ 24 ตัวแทนจากบริษัทด้านคริปโตและฟินเทคชื่อดัง ได้แก่ เจมินี (Gemini), โรบินฮูด (Robinhood), กลุ่มส่งเสริมนวัตกรรมคริปโต (Crypto Council for Innovation) และสมาคมบล็อกเชน (Blockchain Association) ได้ร่วมกันส่งจดหมายถึงประธานาธิบดีทรัมป์ เพื่อแสดงความกังวลต่อ 'ค่าธรรมเนียมการเข้าถึงบัญชี' ที่ธนาคารเรียกเก็บจากฟินเทค ซึ่งอาจขัดขวางการเปิดให้บริการใหม่ๆ และเป็นภัยต่ออุตสาหกรรม ‘คริปโต’, ‘ปัญญาประดิษฐ์’, และ ‘ดิจิทัลเพย์เมนต์’ ทั้งระบบ
คำร้องดังกล่าวเชื่อมโยงกับนโยบาย ‘โอเพนแบงกิ้ง’ ที่สำนักงานคุ้มครองด้านการเงินผู้บริโภค(CFPB) ผลักดันเมื่อเดือนตุลาคม 2023 สมัยของโจ ไบเดน โดยมีเป้าหมายให้ผู้บริโภคแชร์ข้อมูลกับฟินเทคได้อย่างเสรี และลดการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากการเชื่อมต่อข้อมูล ซึ่งภาคคริปโตสนับสนุนอย่างเต็มที่ ขณะที่กลุ่มธนาคารกลับยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อต่อต้านนโยบายนี้
ในช่วงแรก ทรัมป์มีท่าทีสนับสนุนข้อเรียกร้องจากธนาคาร ทว่าหลังเกิดแรงกดดันจากการล็อบบี้ของอุตสาหกรรมคริปโต โดยเฉพาะข้อกล่าวหาของไทเลอร์ วิงเคิลวอส(Tyler Winklevoss) ผู้ร่วมก่อตั้งเจมินี ที่เผยว่าเจพีมอร์แกนบล็อกการเชื่อมต่อบางรายการ ส่งผลให้ทรัมป์เปลี่ยนท่าที โดยปัจจุบันรัฐบาลของเขาแจ้งต่อศาลว่าจะคงกฎเก่าไว้แต่กำลังพิจารณาแนวทางปรับปรุงกฎฉบับใหม่ในอนาคต
บริษัทคริปโตย้ำว่า ‘ข้อมูลจากบัญชีธนาคาร’ คือเส้นเลือดหลักในการให้บริการโอนเข้า-ถอนออกของแพลตฟอร์ม ดังนั้น ‘ค่าธรรมเนียมข้อมูล’ ที่สูงอาจเป็นภัยร้ายแรง โดยระบุในจดหมายว่า “หากโครงสร้างค่าธรรมเนียมที่เสนอถูกบังคับใช้ อาจทำให้บริการนวัตกรรมต้องล่มสลายหรือหายไปจากตลาดโดยสิ้นเชิง” และยังระบุว่ากฎใหม่นี้ ‘ขัดกับนโยบายสนับสนุนคริปโต’ ที่ทรัมป์ประกาศไว้ก่อนหน้านี้
ภาคคริปโตจึงคาดหวังว่าภายใต้การนำของทรัมป์ ซึ่งให้คำมั่นว่าจะผลักดัน ‘สินทรัพย์ดิจิทัล’ ให้กลายเป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศ ประเด็นนโยบายโอเพนแบงกิ้งจะกลายเป็นหนึ่งในจุดยืนสำคัญที่ต้องได้รับการปกป้องและขยายผลในระยะยาว
ความคิดเห็น 0