สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐสองรายจากพรรคเดโมแครตออกมาต่อต้านร่างกฎหมายโครงสร้างตลาดคริปโต พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลสอบสวนบุคคลใกล้ชิดของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยยืนยันว่าจะไม่สนับสนุนร่างกฎหมายหากไม่มีการตรวจสอบอย่างโปร่งใส
เมื่อวันที่ 11 (เวลาท้องถิ่น) อลิซาเบธ วอร์เรน และอีลิซา สล็อทคิน สองสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ ได้ยื่นจดหมายถึงกระทรวงการต่างประเทศ, กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานจริยธรรมแห่งรัฐบาล เรียกร้องให้เริ่มต้นการสอบสวนอย่างเป็นทางการต่อเดวิด แซคส์(David Sacks) ที่ปรึกษาอาวุโสด้าน AI และคริปโตของทรัมป์ และสตีฟ วิตคอฟ(Steve Witkoff) ทูตพิเศษประจำตะวันออกกลาง ทั้งสองเป็นบุคคลที่ถูกคาดหมายว่าจะมีบทบาทสำคัญในรัฐบาลใหม่หากทรัมป์กลับเข้าสู่อำนาจ
ทั้งนี้ สองวุฒิสมาชิกระบุว่าทางการควรหาคำตอบให้ได้ว่าผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมคริปโตซึ่งมีความเชื่อมโยงทางการเมือง กำลังเป็นภัยต่อ ‘ความมั่นคงแห่งชาติ’ ของสหรัฐหรือไม่ หากไม่มีคำตอบชัดเจน พวกเขาจะไม่สามารถสนับสนุนร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการตลาดคริปโตได้
ร่างกฎหมายดังกล่าวซึ่งกำลังจะเข้าสู่ขั้นตอนการลงมติ หลังผ่านคณะกรรมาธิการด้านการธนาคารและการเกษตรของวุฒิสภา มีเป้าหมายเพื่อวางกรอบกำกับดูแลสกุลเงินดิจิทัลในระดับรัฐบาลกลาง ครอบคลุมการขึ้นทะเบียนแพลตฟอร์มซื้อขาย การคุ้มครองผู้บริโภค และการจัดแบ่งอำนาจระหว่างหน่วยงานกำกับดูแลหลัก ได้แก่ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์(SEC) และคณะกรรมการกำกับสัญญาซื้อขายล่วงหน้า(CFTC)
สล็อทคินและวอร์เรนกล่าวหาว่า แซคส์และวิตคอฟอาจมี ‘การติดต่อที่ผิดปกติ’ กับเจ้าของกิจการผลิตชิปและผู้มีผลประโยชน์ในอุตสาหกรรมคริปโตในตะวันออกกลาง และหากปล่อยให้ผ่านร่างกฎหมายนี้โดยไม่มีการตรวจสอบ ก็อาจทำให้ *นโยบายคริปโตของสหรัฐขาดความชอบธรรมในระบอบประชาธิปไตย*
วอร์เรน เป็นหนึ่งในนักการเมืองที่มีจุดยืนแข็งกร้าวในการควบคุมตลาดคริปโต ส่วนสล็อทคินขึ้นชื่อในเรื่องการให้ความสำคัญกับความมั่นคงและเทคโนโลยี จดหมายร่วมของทั้งสองไม่ใช่แค่การร้องขอ แต่เป็นการวางเงื่อนไขล่วงหน้า ซึ่งอาจส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อกระแสในวุฒิสภา
มีบางฝ่ายในวงการการเมืองมองว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามควบคุมอิทธิพลจากค่ายทรัมป์ ก่อนเข้าสู่ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งต่อไป ในขณะที่แรงกดดันจาก ‘อุตสาหกรรมคริปโต’ กำลังทวีความรุนแรงมากขึ้น ความเกี่ยวพันระหว่างกลุ่มผลประโยชน์และผู้บริหารชุดใหม่จึงกำลังกลายเป็นประเด็นร้อนที่ต้องจับตา
ความคิดเห็น 0