ภาวะ *ชัตดาวน์* ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ยืดเยื้อมานานกว่า 3 สัปดาห์กำลังส่งผลกระทบรุนแรงต่อภาคอุตสาหกรรมคริปโต โดยเฉพาะในส่วนของ 'กองทุนรวมดัชนี(ETF)' ที่เกี่ยวข้องกับคริปโต ซึ่งกว่า 16 รายการยังไม่สามารถเข้าสู่กระบวนการพิจารณาได้ หากชัตดาวน์ยืดเยื้อไปถึงเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป ความเป็นไปได้ที่การเปิดตัว ETF ใหม่จะต้อง 'เลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด' ก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก
เหตุการณ์นี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา เมื่อพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตไม่สามารถหาข้อตกลงร่วมกันในเรื่องงบประมาณของปีงบใหม่ได้ ส่งผลให้หน่วยงานรัฐบาลหลักรวมถึงคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ(SEC) ต้องลดจำนวนพนักงานเหลือเฉพาะที่จำเป็น และ 'หยุดปฏิบัติงานในหลายภารกิจ' โดยอัตโนมัติ ด้วยเหตุนี้ กระบวนการอนุมัติ ETF ที่เกี่ยวข้องกับคริปโตจึงชะงักลงไปโดยไม่มีสัญญาณของความคืบหน้า
ในช่วงเดือนตุลาคม SEC มีกำหนดที่จะตัดสินใจในขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับ ETF คริปโตไม่น้อยกว่า 16 รายการ ขณะที่ในสัปดาห์แรกของเดือนนั้น มีคำขอยื่นใหม่กว่า 21 รายการ ทำให้ตลาดคาดหวังว่าเดือนตุลาคมจะเป็น ‘คลื่นลูกใหม่’ ของกองทุน ETF แต่ผลจากชัตดาวน์กลับกลายเป็นว่าหลายรายการ 'พ้นกำหนดพิจารณาแต่ยังไม่ได้รับการตัดสิน' สะท้อน 'ภาวะสุญญากาศทางปกครอง' ที่ชัดเจน
ประเด็นที่สำคัญคือ 'ยังไม่มีใครคาดเดาได้ว่าเหตุการณ์นี้จะสิ้นสุดเมื่อไร' โดยขณะนี้ฝั่งรีพับลิกันยังยืนยันจุดยืนในการ 'ลดงบประมาณ' เพื่อลดหนี้สาธารณะของประเทศ พร้อมเรียกร้องเพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคงชายแดน ขณะที่เดโมแครตไม่ยอมลดงบด้านสวัสดิการ เช่น การประกันสุขภาพ และยังผลักดันให้ขยายระยะเวลาการลดหย่อนภาษีสำหรับประชาชน
ด้วยสถานการณ์ที่ทั้งวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรต่าง 'ไม่สามารถเดินหน้าทำงานได้ตามปกติ' ขณะที่วุฒิสภาไม่มีแผนจะลงมติใดๆ จนถึงวันอังคาร และสภาผู้แทนฯ ก็ยังอยู่ในช่วงพักการประชุม ความหวังที่จะยุติชัตดาวน์โดยเร็วจึงยังริบหรี่ ทั้งนี้ การแก้ปัญหาจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการผ่านงบประมาณของทั้ง 12 กระทรวง หรือออก 'งบประมาณชั่วคราว' (CR) และหลังจากนั้นต้องให้ประธานาธิบดีทรัมป์ลงนามเท่านั้น ชัตดาวน์จึงจะสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการ
เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้ 'กองทุน ETF' จะถูกมองว่าเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้ *การลงทุนในคริปโตเข้าสู่กระแสหลัก* ได้มากขึ้น แต่ 'ความเสี่ยงจากนโยบาย' ก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันตลาด บางฝ่ายในวงการแสดง 'ความกังวล' ว่าเมื่อสำนักงาน SEC กลับมาเปิดทำการ จำนวนคำขอที่ค้างอยู่จะทำให้ภาระหนักขึ้น ส่งผลให้ระยะเวลาการอนุมัติ ETF ยิ่งยาวนานออกไป และ 'โอกาสในการเข้าสู่ตลาดก็ล่าช้าออกไป' อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ความคิดเห็น 0