เครือข่ายของอีเธอเรียม(ETH) มีการปรับเพิ่ม ‘ขีดจำกัดก๊าซ’ (Gas Limit) ของบล็อกขึ้นเป็น 60 ล้านยูนิต ซึ่งนับเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี โดยการเปลี่ยนแปลงนี้ถูกมองว่าเป็นความก้าวหน้าด้านเทคนิคที่ช่วยยกระดับ ‘ขีดความสามารถในการประมวลผล’ ของเครือข่ายอย่างมีนัยสำคัญ
จากข้อมูลของเว็บไซต์วิเคราะห์ข้อมูลออนเชน ‘Gas Limit Pics’ ณ เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา มีผู้ตรวจสอบธุรกรรม (Validator) บนอีเธอเรียมมากกว่า 513,000 รายที่ปรับขีดจำกัดก๊าซของบล็อกจาก 45 ล้านยูนิตเป็น 60 ล้านยูนิต ส่งผลให้ขนาดบล็อกเฉลี่ยของเครือข่ายเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ โดยตัวเลขนี้หมายถึงปริมาณการคำนวณที่สามารถดำเนินการได้ในแต่ละบล็อก ซึ่งขยายขอบเขตการรองรับธุรกรรมต่าง ๆ เช่น การรันสมาร์ตคอนแทรกต์ การโอนโทเคน และการใช้งานในโปรโตคอลดีไฟ
แม้ว่าการปรับเพิ่มขีดจำกัดก๊าซจะดูเหมือนเป็นเพียงการเปลี่ยนตัวเลข แต่ในความเป็นจริงถือเป็นการเพิ่ม ‘พื้นฐานการประมวลผล’ (Base Layer Throughput) ของเครือข่าย L1 ที่สำคัญ ซึ่งช่วยลดความล่าช้าและสร้างผลบวกต่อโครงสร้างค่าธรรมเนียมในช่วงที่มีปริมาณธุรกรรมจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขนาดของบล็อกยังนำไปสู่ความท้าทายด้านต้นทุนสำหรับผู้ปฏิบัติงานโนดและภาระในการซิงค์ข้อมูล อีกทั้งยังต้องอาศัยการออกแบบที่สมดุลทางเทคนิค
การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นโดยกระบวนการเห็นพ้องของชุมชน ซึ่งมีลักษณะแบบก้าวหน้า กล่าวคือ เมื่อมีผู้ตรวจสอบธุรกรรมมากกว่าครึ่งเห็นชอบกับการเพิ่มขีดจำกัดก๊าซ ระบบจะทำการปรับขีดจำกัดโดยอัตโนมัติ และการอัปเกรดครั้งนี้ก็เป็นไปตามกลไกดังกล่าว
บุคคลในวงการจำนวนไม่น้อยมองว่า การปรับเพิ่มขีดจำกัดก๊าซในครั้งนี้เป็น ‘สัญญาณเริ่มต้นของการเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลของอีเธอเรียมเลเยอร์ 1’ ซึ่งในอนาคตอาจนำไปสู่ประสบการณ์ใช้งานที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่ระบบจะมีการอัปเกรดเชิงโครงสร้างเพิ่มเติม
ความคิดเห็น: นี่อาจเป็นหนึ่งในสัญญาณที่ชี้ว่า ความต้องการใช้งานเครือข่ายอีเธอเรียมในระยะยาวจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อผสานเข้ากับความก้าวหน้าในด้านปริมาณผู้ตรวจสอบธุรกรรม และการพัฒนาเทคโนโลยีในระยะยาว นักลงทุนอาจใช้ตัวบ่งชี้นี้เป็นแนวทางประกอบการวางกลยุทธ์การลงทุนในตลาดสกุลเงินดิจิทัลอย่างใกล้ชิด
สำหรับผู้เริ่มต้น คำว่า ‘ขีดจำกัดก๊าซ’ หมายถึง ปริมาณการคำนวณที่สามารถดำเนินการได้ในแต่ละบล็อก ยิ่งค่าสูงยิ่งสามารถรองรับปริมาณธุรกรรมได้มากขึ้น ขณะที่ ‘พื้นฐานการประมวลผล’ ของเลเยอร์ 1 คือระดับการประมวลพื้นฐานที่เครือข่ายสามารถรองรับได้ และ ‘ผู้ตรวจสอบธุรกรรม’ คือผู้ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบและยืนยันธุรกรรมในเครือข่ายบล็อกเชน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในระบบโปรโตคอลแบบกระจายศูนย์
ความคิดเห็น 0