อุตสาหกรรมคริปโตเริ่มขยายบทบาทสู่ ‘ปัญญาประดิษฐ์’ (AI) พร้อมเดินหน้าท้าทายการรวมศูนย์ของบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่นเดียวกับที่ ‘บิตคอยน์’ (BTC) และ ‘อีเธอเรียม’ (ETH) ถูกออกแบบมาเพื่อลดการควบคุมจากระบบการเงินแบบดั้งเดิม โครงการ AI บนบล็อกเชนก็พยายามลดการครอบงำของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่เช่นกัน
ขณะนี้ ตลาด AI ถูกครอบงำโดยบริษัทอย่าง ‘กูเกิล’ (GOOGL), ‘ไมโครซอฟท์’ (MSFT) และ ‘โอเพ่นเอไอ’ ซึ่งทำให้โครงการ AI แบบกระจายศูนย์เผชิญความยากลำบากในการรวบรวมข้อมูลและขยายขีดความสามารถด้านการประมวลผล เนื่องจากโครงสร้างธุรกิจยังคงเอื้อต่อองค์กรขนาดใหญ่ บล็อกเชนจึงต้องพัฒนานวัตกรรมเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถแข่งขันได้
หนึ่งในอุปสรรคหลักคือ ‘ข้อมูล’ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการฝึกโมเดล AI โครงการกระจายศูนย์จำนวนมากยังไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลคุณภาพสูงที่บริษัทครอบครองได้ ซึ่งส่งผลให้พวกเขาต้องหาทางออกโดยใช้โมเดล AI ที่รวมศูนย์เป็นแกนหลัก แต่เปลี่ยนรูปแบบการให้บริการเป็นแบบกระจายศูนย์แทน
อีกหนึ่งความท้าทายคือ ‘ต้นทุน’ การพัฒนา AI ต้องใช้ทรัพยากรการคำนวณมหาศาล ซึ่งบริการ AI จากสหรัฐมักมีค่าใช้จ่ายสูง ในทางตรงกันข้าม ‘ดีปซีค’ (DeepSeek) สตาร์ทอัพจากจีน สามารถพัฒนาโมเดลภาษาที่แข็งแกร่งในราคาที่ถูกกว่า ซึ่งทำให้พวกเขาได้รับความสนใจ หากดีปซีคยังคงเน้นการเปิดกว้าง ก็เป็นไปได้ว่าโครงการ AI แบบกระจายศูนย์อาจลดต้นทุนและพัฒนาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ก็มีข้อกังวลเกี่ยวกับ ‘การพึ่งพาใหม่’ แม้ว่าดีปซีคอาจช่วยลดบทบาทของบริษัทยักษ์ใหญ่จากตะวันตก แต่กฎระเบียบที่เข้มงวดของรัฐบาลจีนก็อาจจำกัดศักยภาพการพัฒนา AI ซึ่งทำให้อนาคตของโครงการ AI แบบกระจายศูนย์ยังคงไม่แน่นอน
ในขณะที่ความพยายามในการกระจายศูนย์ AI ผ่านบล็อกเชนยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ยังไม่มีความชัดเจนว่าระบบกระจายศูนย์จะสามารถแข่งขันกับบริษัทยักษ์ใหญ่ได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ด้วยนวัตกรรมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็ไม่อาจตัดความเป็นไปได้ที่จะมีทางออกใหม่สำหรับ AI ในอนาคต
ความคิดเห็น 0