กลุ่มสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ จำนวน 18 คนจากทั้งสองพรรค ได้ร่วมกันผลักดันให้กรมสรรพากรสหรัฐฯ (IRS) ทบทวนแนวทางการจัดเก็บภาษีจากการทำ *คริปโตสเตกกิ้ง(crypto staking)* ก่อนถึงปี 2026 โดยเมื่อวันที่ 24 ที่ผ่านมา กลุ่มสมาชิกสภานำโดย ไมค์ แครีย์(Mike Carey) ส.ส.จากพรรครีพับลิกัน ได้ส่งจดหมายถึง สก็อตต์ เบสเซนต์(Scott Bessent) รักษาการผู้อำนวยการกรมสรรพากร เรียกร้องให้มีการปรับปรุงกฎระเบียบภาษีที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นภาระต่อผู้ถือสินทรัพย์ดิจิทัล
“การยุติการเก็บภาษีซ้ำซ้อนจากรางวัลที่ได้จากการสเตกกิ้ง ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการปฏิบัติต่อสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างเป็นธรรม” แครีย์ กล่าว พร้อมเสนอให้เก็บภาษีเฉพาะเมื่อมีการขายรางวัลจากการสเตกกิ้ง เพื่อให้สอดคล้องกับรายได้จริงที่ผู้ถือโทเคนได้รับ
ภายใต้กฎหมายปัจจุบัน ผู้ที่ร่วมกิจกรรมสเตกกิ้งต้องเสียภาษี 2 ครั้ง ทั้งเมื่อได้รับรางวัล และเมื่อขายสินทรัพย์ออก ทำให้สมาชิกรัฐสภาเห็นว่าเป็นอุปสรรคต่อการมีส่วนร่วมในเครือข่ายบล็อกเชน ทั้งที่กระบวนการสเตกกิ้งเป็นส่วนสำคัญของโครงสร้างบล็อกเชนบางประเภท
ในจดหมายยังระบุว่า คนอเมริกันนับล้านคนถือโทเคนอยู่บนเครือข่ายเหล่านี้ และการรักษาความปลอดภัยของเครือข่าย รวมถึงการคงความเป็นผู้นำของสหรัฐฯ ไว้ จำเป็นต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจากผู้เสียภาษีเหล่านี้ ซึ่งกฎเกณฑ์ภาษีในปัจจุบันกำลังทำให้พวกเขาลังเลที่จะมีส่วนร่วม
ท้ายจดหมายได้สอบถามว่า ยังมีอุปสรรคใดในเชิงบริหารที่จะทำให้ไม่สามารถอัปเดตแนวทางภาษีได้ภายในปีนี้หรือไม่ และชี้ว่า ควรมีการปรับปรุงเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลชุดปัจจุบันที่ต้องการเสริมความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลของสหรัฐฯ
*ความคิดเห็น*: นี่คือความพยายามอีกครั้งของฝ่ายนิติบัญญัติในการปรับปรุงนโยบายภาษีให้เหมาะสมกับเทคโนโลยีการเงินยุคใหม่
ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อวันที่ 23 ตัวแทนสภาคองเกรส แม็กซ์ มิลเลอร์(Max Miller) และ สตีเวน ฮอร์สฟอร์ด(Steven Horsford) ได้นำเสนอร่างร่างหารือเบื้องต้นที่มุ่งลดภาระภาษีของผู้ใช้คริปโต โดยเสนอให้การทำธุรกรรมด้วยเหรียญ *สเตเบิลคอยน์* มูลค่าน้อย ได้รับการยกเว้นจากภาษีกำไรจากการขาย (Capital Gains Tax) และเสนอทางเลือกให้เลื่อนเวลาการเสียภาษีจากรางวัลสเตกกิ้งและการขุดออกไปได้นานถึง 5 ปี แทนที่จะต้องเสียภาษีทันทีที่ได้รับรางวัล
*ความคิดเห็น*: แม้จะเป็นข้อเสนอที่แตกต่างจากแนวทางของกลุ่มแครีย์ แต่ทั้งสองกรณียืนยันถึงจุดร่วม คือ ความต้องการสร้างความชัดเจนและความยืดหยุ่นต่อระบบภาษีดิจิทัล ที่กำลังกลายเป็นโครงสร้างสำคัญของเศรษฐกิจยุคใหม่ของสหรัฐฯ
ความคิดเห็น 0