ตลาดมีมคอยน์เผชิญการร่วงลงอย่างหนัก แต่ยังมีโอกาสฟื้นตัว
เมื่อวันที่ 8 (เวลาท้องถิ่น) บ็อบบี้ อง(Bobby Ong) ผู้ร่วมก่อตั้ง ‘คอยน์เก็กโค’(CoinGecko) ให้ความเห็นว่า “มีมคอยน์ในปัจจุบันแทบจะไร้ชีวิตแล้ว แต่ยังมีโอกาสกลับมาอีกครั้ง” โดยเขาอธิบายว่ามีมคอยน์มีลักษณะเป็น ‘วัฏจักร’ ซึ่งพบว่าโทเคนบางประเภทสามารถอยู่รอดได้แม้ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของตลาด
การตกต่ำของตลาดมีมคอยน์ส่วนหนึ่งมาจากการเปิดตัวโทเคน ‘ทรัมป์’(TRUMP) และ ‘เมลาเนีย’(MELANIA) ซึ่งส่งผลให้สภาพคล่องกระจายตัวออกไป รวมถึงกระแสเก็งกำไรที่ร้อนแรงได้จบลง นอกจากนี้ ยังได้รับแรงกดดันจากความล้มเหลวของโทเคน ‘ลิบรา’(LIBRA) ซึ่งทำลายแนวคิดของ ‘การเปิดตัวโทเคนอย่างเป็นธรรม’ ส่งผลให้ตลาดเต็มไปด้วยการแสวงหาผลกำไรของคนวงใน ทำให้ตัวชี้วัดสำคัญของตลาดร่วงลงมากกว่า 90% จากจุดสูงสุดเมื่อช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์
อย่างไรก็ตาม โครงการที่มี ‘ชุมชนที่แข็งแกร่ง’ เช่น ‘โดชคอยน์’(DOGE), ‘ชิบะอินุ’(SHIB) และ ‘บองก์’(BONK) ยังคงสามารถอยู่รอดได้ และมีแนวโน้มว่ามีมคอยน์ในอนาคตจะเหลือเพียงแค่โครงการที่มีฐานผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งเท่านั้น บ็อบบี้ องมองว่าตลาดมีมคอยน์จะเข้าสู่ ‘กฎพาวเวอร์ลอว์’ ซึ่งหมายความว่า โทเคนส่วนใหญ่จะหายไป เหลือเพียงไม่กี่ตัวที่สามารถพิสูจน์คุณค่าของตนเองได้ในระยะยาว
อีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้มีมคอยน์เฟื่องฟูก่อนหน้านี้คือ ‘ความผิดหวังต่อกระบวนการเปิดตัวโทเคนที่นำโดยบริษัทร่วมทุน (VC)’ ในปี 2024 ซึ่งโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจาก VC มักกำหนด ‘โครงสร้าง FDV สูง’ (Fully Diluted Valuation) ซึ่งจำกัดการหมุนเวียนของโทเคนในช่วงแรก ทำให้เกิดความได้เปรียบแก่กลุ่มนักลงทุนเพียงไม่กี่ราย ด้วยเหตุนี้ นักลงทุนจำนวนมากจึงเลือกหันไปเก็งกำไรในตลาดมีมคอยน์ที่มีความผันผวนสูง ส่งผลให้ตลาดร้อนแรงอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ การขาดกฎระเบียบที่ชัดเจนยังเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้มีมคอยน์แพร่หลาย โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่ทางการยังไม่ได้กำหนดแนวทางที่ชัดเจนสำหรับการออกโทเคน ส่งผลให้โครงการจำนวนมากสามารถเปิดตัวโทเคนเพื่อการเก็งกำไรอย่างไม่มีข้อจำกัด
สำหรับแนวโน้มอนาคต บ็อบบี้ องมองว่ากระแสของ ‘โทเคนไนเซชัน’ (Tokenization) จะยังคงดำเนินต่อไป ไม่เพียงแต่ในตลาดมีมคอยน์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงโทเคนที่ผสานกับปัญญาประดิษฐ์(AI) และองค์กรอัตโนมัติเชิงกระจายอำนาจ(DAO) อีกด้วย เนื่องจากในเดือนมกราคมที่ผ่านมา มีโทเคนใหม่เกิดขึ้นมากกว่า 600,000 รายการ ทำให้มีโอกาสที่ ‘โครงการทดลอง’ รูปแบบใหม่จะเกิดขึ้นมากขึ้นในอนาคต
ความคิดเห็น 0